สช.ดึงนศ.ต่างชาติให้ความรู้ภาษาอังกฤษเด็กไทย

          ศึกษาธิการ * สช.ดึง นศ.ต่างชาติ 5 พันคนฝึกสอนวิชาภาษาอังกฤษใน รร.เอกชน ลดปัญหาขาดแคลนครูสอนภาษา บัณฑิตย์ ระบุเป้าปีการศึกษา 56 เด็ก ป.4 ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ สั่งปรับลดเรียนไวยากรณ์เหลือ 20% เพิ่มสอนพูดเป็น 80%
          วันที่ 2 ตุลาคม นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ต้องการให้ปรับการเรียนการสอนมาเน้นการพูดสื่อสารมากกว่าการเน้นสอนไวยากรณ์นั้น เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าโรงเรียนเอกชนยังประสบปัญหาขาดครูสอนภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้หารือกับสถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย ในการจัดส่งนักศึกษาจากนิวซีแลนด์ประมาณ 5,000 คน มาฝึกสอนในโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศประมาณ 1 ปี เพราะนักศึกษาเหล่านี้ยังไม่มีที่ฝึกสอน และประกอบกับโรงเรียนเอกชนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กำลังประสบปัญหาขาดครูภาษาต่างประเทศด้วย จึงเห็นว่าการดำเนินการในรูปแบบนี้จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดย สช.จะจัดที่พักพร้อมค่าอาหารให้
          การนำนักศึกษาต่างชาติมาสอนจะทำให้เด็กได้เรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง ทำให้การสื่อสารด้านภาษาของเด็กมีความถูกต้อง และกล้าที่จะสื่อสารกับชาวต่างชาติด้วย หากโครงการนี้ดำเนินการได้ตามแผนจะเป็นประโยชน์มาก หากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องการจะให้นักศึกษาต่างชาติเหล่านี้ไปสอน สช.ก็ยินดี เลขาธิการ กช.กล่าว
          นายบัณฑิตย์กล่าวต่ออีกว่า ในปีการศึกษา 2556 นี้ สช.ตั้งเป้าให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนเอกชนสังกัด สช.ทุกคนจะต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ โดยให้โรงเรียนเอกชนปรับการเรียนการสอนใหม่ ที่ผ่านมาการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ทำให้เมื่อเด็กเรียนจบมาสื่อสารไม่ได้ ต่อจากนี้จะเน้นการสอนการพูดสื่อสาร 80% และสอนไวยากรณ์ 20% เพื่อให้เด็กสื่อสารได้มากขึ้น เช่น การแนะนำตัวเอง แนะนำประเทศไทย แนะนำวัฒนาท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ สช.ยังได้จัดส่งสื่อการเรียนการสอนในรูป E-learning ให้กับโรงเรียนเอกชนทุกแห่งด้วย เพื่อเป็นคู่มือจัดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน และการเรียนวิชาภาษาอังกฤษจะต้องเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กไทย.

          ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์