สัญญาประชาคม



สัญญาประชาคม

เลาะเลียบคลองผดุงฯ
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน


ปฏิบัติการขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 ฉบับ ยังคงเป็นความสนใจด้วยการถามไถ่และวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความสับสน อึมครึม ถึงความเป็นมา เพื่อจะได้ก้าวเดินกันต่อไปดังที่ประกาศไว้จากคำสั่งที่ 10/2559 ให้ยุบเลิก อ.ก.ค.ศ.และคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา และตั้งให้มีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด หรือ "กศจ." ขึ้นมาดูแลแทนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน

และ คำสั่งที่ 11/2559 เรื่อง "การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค" ให้ยกเลิกสำนักงานศึกษาธิการภาค 1-13 เดิม ตั้งใหม่ 18 ภาค ขึ้นตรงต่อ รมว.ศธ.และฟื้นตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด ต้องยอมรับว่าตอนนี้ออกจะเร็วเกินไป ที่นักวิชาการ นักการศึกษาหลายฝ่ายจะมานั่งมโนล่วงหน้าว่า เป็นการย้อนยุคการบริหาร ศธ.ในภูมิภาค ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นทั้งวิกฤต และโอกาสของรัฐบาลเอง

จับความจากคำถาม ? คำตอบในเชิง ปุจฉา-วิสัชนา ระหว่างสื่อมวลชน กับ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศธ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ศธ. ร่วมกันชี้แจง เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมาในบางประเด็นที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคม มาให้เห็นบางส่วน พบว่า จะใช้แนวทางนี้ในช่วงรัฐบาลปัจจุบันไปก่อนและยังตอบไม่ได้ 100% ว่าจะใช้ไปนานเท่าไร

ไม่ปฏิเสธว่าใน 225 เขตพื้นที่การศึกษานั้นส่วนที่ดีก็มี ไม่ดี ก็มี จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่มีการใช้คำสั่งดังกล่าว มาจากการที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมเรียกรับผลประโยชน์ ขาดธรรมาภิบาล ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนการทำงาน ของกระทรวงศึกษาธิการ

โครงสร้างใหม่อำนาจจะไปจบที่ กศจ. ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ยืนยันว่าผู้ว่าฯมีความสนใจด้านการศึกษาแน่นอน และเก่งทุกคน จะทำในรูปแบบของกรรมการที่มีผู้แทนจากศธ. ร่วมด้วย

การเพิ่มจำนวนสำนักงานศึกษาธิการภาคจาก 13 ภาค เป็น 18 ภาค มีที่มาจากการจัดรูปแบบของ ก.มหาดไทย และเชื่อว่าอำนาจการแต่งตั้งของ กศจ.จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่า สามารถจัดการโอนย้ายข้ามเขตได้

ตบท้ายย้ำกันอีกทีว่าโครงสร้างใหม่นี้ไม่ได้ทิ้งเรื่องการกระจาย อำนาจ เพราะมีผู้ว่าฯและกรรมการที่มาจากทุกภาคส่วน เช่น ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม 

 

ที่มาข่าวสดออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม 2559


โพสเมื่อ : 29 มี.ค. 59   อ่าน 1492 ครั้ง      คำค้นหา :