เสียงสะท้อนจากนักครุศึกษา ครูมีคุณภาพแล้วหรือยัง ?
|
บ่อยครั้งเมื่อปรากฏผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน
นักศึกษาไทยแล้วพบว่ามีคะแนนต่ำ
มักเกิดคำถามขึ้นมาเสมอว่าปัจจัยใดที่ทำให้เป็นเช่นนั้น
หลากคำตอบที่เกิดขึ้นมักหนีไม่พ้นว่าเป็นเพราะหลักสูตร การเรียนการสอน
นโยบายทางการศึกษา เรื่อยมาจนถึงคำตอบที่ว่าครูไม่มีศักยภาพมากพอ
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายองค์ประกอบส่งผลต่อการศึกษาของไทย
ในส่วนของครูที่สอนนักเรียนนักศึกษา หากมองถึงเส้นทางกว่าจะมาเป็นครู
ส่วนใหญ่แล้วต้องผ่านการศึกษาในคณะครุศาสตร์หรือคณะศึกษาศาสตร์
จาก
งานเสวนา "ศึกษาฟอรั่ม ครั้งที่ 2" สานต่อจากเวทีศึกษาเสวนา...ปฐมฤกษ์
ซึ่ง บมจ.ปิโก (ไทยแลนด์) จัดขึ้น
โดยเปิดโอกาสให้ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาที่เป็นกลุ่มแกนหลัก (Core Group)
มาเข้าร่วมประชุมนำเสนอความคิดเห็น
เพื่อนำข้อสรุปที่ได้ไปรับปรับใช้หรือต่อยอดกับหน่วยงานในสังกัดของตัวเอง
ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการร่วมสร้างสรรค์การศึกษาไทยให้พัฒนาไป
ในทางที่ดีขึ้น
หนึ่ง
ในประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องครุศึกษาในประเทศ ไทย ซึ่ง "ดร.จุฑารัตน์
วิบูลผล" รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า
การเข้าสู่วิชาชีพครูมีอยู่ 5 ช่องทาง คือ 1.การเรียนหลักสูตรครู 5 ปี
2.การเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู 3.การอบรม
4.การทดสอบและประเมินความรู้ 5.การสอบเทียบโอนความรู้
ซึ่งบทบาทของครุศึกษาที่เข้าไปมีส่วนร่วมมีแค่ 2 ช่องทางแรกเท่านั้น
"ก่อน
หน้านี้มีข่าวว่าการสอบครูผู้ช่วยของปีนี้มีผู้สอบผ่านประมาณ 5 พันคน
หรือคิดเป็น 6.5% ของผู้สมัครทั้งหมด
ข้อมูลนี้อาจตีความได้ว่าระบบการทดสอบเข้มข้น
จนทำให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนครูมาโดยตรง
ไม่
สามารถผ่านเข้าสู่ระบบได้ ขณะเดียวกัน
คนที่ถือวุฒิปริญญาตรีก็ไม่สามารถสอบผ่านได้เช่นกัน
จึงเป็นคำถามกลับมายังสถาบันผลิตครูว่าการผลิตคนของเรา
มีคุณภาพหรือยัง"
ฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ใน
ส่วนของครุศึกษาจะเกี่ยวข้องโดยตรงคือการพัฒนาครูก่อนประจำการ
ทั้งหลักสูตร, การคัดเลือกผู้เรียนครู และการจัดหลักสูตร
แต่เมื่อมองการจัดหลักสูตรครุศึกษาในประเทศไทยพบว่าไม่ได้เปิดให้ผู้มีส่วน
ได้ส่วนเสียร่วมจัดและพัฒนาหลักสูตร
"เวลา
ที่ถามว่าใครเป็นผู้รับ ผิดชอบหลักสูตรครุศึกษา
นิยามที่ให้คืออาจารย์ที่อยู่ในคณะครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ ทั้งที่จริง ๆ
แล้วหลักสูตรนี้ต้องไปใช้บริการของอาจารย์คณะอื่น ๆ
เพราะนักศึกษาต้องไปเรียนกับคณะเจ้าของวิชา เช่น
ถ้าเรียนเอกวิทยาศาสตร์ต้องไปเรียนกับรายวิชาวิทยาศาสตร์จำนวนมาก
แต่ตอนทำหลักสูตรเราไม่ได้เชิญอาจารย์จากคณะอื่นที่สอนนิสิตเราเข้ามาร่วม
พัฒนาหลักสูตร
และไม่เคยถามผู้ใช้บัณฑิตทั้งโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยว่าเขาอยากได้ครูแบบ
ไหน"
นอก
จากนั้น การผลิตครูของประเทศไทยจะเป็นแบบ Mass หรือเน้นปริมาณ
และใช้ระบบคัดเลือกครูด้วยการสอบข้อเขียน
จึงไม่สามารถคัดกรองคนตามที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้
แตกต่างจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษาอย่างเกาหลีใต้
หรือสิงคโปร์ จะนำคนที่เป็นระดับท็อปมาเรียนครู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศฟินแลนด์จะมีระบบการคัดเลือกครูหลายขั้นตอน
ทั้งสอบข้อเขียน สัมภาษณ์วัดเจตคติ และสังเกตการทำงาน
โมเดลต่าง-คุณภาพไม่เหมือน
"ดร.จุฑารัตน์"
กล่าวอีกว่า ปัจจุบันหลักสูตรการผลิตครูมีหลากหลายโมเดล เช่น
จัดการเรียนการสอนอยู่ในครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ของตัวเอง,
คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์รับผิดชอบการสอนโดยตรง
และร่วมกับคณะอื่นที่เป็นวิชาเอก
ตลอดจนนักศึกษาสังกัดอยู่คณะที่เป็นวิชาเอก
และไปเรียนวิชาการสอนที่คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
"คำ
ถามคือมาตรฐาน ของบัณฑิตแต่ละโมเดลสามารถเทียบเคียงได้หรือไม่
และครูที่สอนต้องมีสมรรถนะเพิ่มเติม หรือแตกต่างจากครูของคณะอื่น ๆ หรือไม่
ถ้าเข้าไปสังเกตวิธีคัดเลือกครูของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
จะพบว่ามหาวิทยาลัยใช้เกณฑ์เดียวกันกับการคัดเลือกครูคณะอื่น ๆ
จริง
อยู่อาจมีความแตกต่างเรื่องของความรู้ แต่คุณสมบัติอื่น ๆ ไม่ได้แตกต่างกัน
โดยมองว่าต้องเพิ่มเรื่องประสบการณ์การสอนเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่ง
เพราะครูจะถูกกำหนดให้ไปเป็นอาจารย์นิเทศก์นักศึกษาด้วย
แต่ตอนกระบวนการคัดเลือกครูเข้ามาสอนไม่มีใครถามเลยว่าเราเคยนิเทศก์ใครหรือ
เปล่า"
ให้ความสำคัญกับครูใหม่
เมื่อ
ผลิตบัณฑิตออกไป เป็นครูแล้ว จึงเข้าสู่กระบวนการพัฒนาครูประจำการ ซึ่ง
"ดร.จุฑารัตน์" ยกตัวอย่างโมเดลการพัฒนาวิชาชีพครูของประเทศฟินแลนด์ว่ามี 3
ระยะ คือการพัฒนาครูก่อนประจำการ
ต่อมาจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมครูใหม่ โดยช่วง 2-3 ปีแรก
เขาจะมอบหมายให้ครูที่มีประสบการณ์มาเป็นอาจารย์พี่เลี้ยงให้คำปรึกษา
เพื่อให้ครูใหม่เกิดความมั่นใจในการทำงาน
หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพัฒนาครูประจำการ
"สำหรับ
ประเทศไทยมี การสนับสนุนครูใหม่ในรูปแบบของการเป็นครูผู้ช่วย
หลายครั้งที่เราพูดถึงเรื่องการพัฒนาครู หลายคนจะบอกว่าให้อดทน
เพราะครูในระบบกำลังจะเกษียณเป็นจำนวนมาก เราจะเอาครูพันธุ์ใหม่มาล้างน้ำ
แต่เมื่อมีครูพันธุ์ใหม่เข้ามาในระบบ 2 ปีแรกและถูกระบบโปรเวชั่น
ครูใหม่คงจะหงอ ๆ ทำตัวคล้อยตามระบบ
ตรงนี้มองว่าระบบครูผู้ช่วยไม่ได้ทำให้ครูใหม่เข้มแข็งไปถึงขั้นพัฒนา
คุณลักษณะเฉพาะของตัวเองได้"
หรือ
แม้แต่การพัฒนาครูประจำการผ่าน โครงการต่าง ๆ ทั้งการประชุม สัมมนา
จะพบว่าหลักสูตรอบรมที่เกิดขึ้นมักเป็นการจัดตามกระแส
หรือนโยบายด้านการศึกษาขณะนั้น ๆ อีกทั้งการอบรม
ที่
เกิดขึ้นจะเป็น แบบระยะสั้น ๆ
ไม่ต่อเนื่องและไม่เชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาของตัวเอง
"ดร.จุฑารัตน์" ให้ความคิดเห็นทิ้งท้ายว่า
สถาบันครุศึกษาน่าจะทำงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตบัณฑิตด้านครุศาสตร์/ศึกษา
ศาสตร์ให้มากขึ้นว่าครูควรจะสอนนักศึกษาอย่างไร
จากเดิมที่เน้นการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในชั้นเรียน
"ที่
สำคัญคือต้องระดมกลยุทธ์เพื่อให้นักครุศึกษาเห็นบทบาทของตัวเองในการเป็นผู้
นำนอกเหนือจากชั้นเรียนของตัวเอง
น่าจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดว่าไม่ใช่แค่สอนศิษย์ในวิชาเอก
แต่เรามีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านครุศึกษาในวงกว้างด้วย"
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 2 กันยายน 2556 |
|
โพสเมื่อ :
02 ก.ย. 56
อ่าน 1592 ครั้ง คำค้นหา :
|
| |