ขรก.แห่ลาออกสมาชิก กบข.กลับรับบำนาญ คาดยอดพุ่งกว่า2แสน
นายสมบัติ นราวุฒิชัย
เลขาธิการกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) เปิดเผยว่า หลังจาก
พระราชบัญญัติการกลับไปใช้สิทธิบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการ พ.ศ. 2494 พ.ศ. 2557 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2557
พบว่า ปัจจุบันมีข้าราชการใช้สิทธิ เพื่อขอกลับไปรับบำนาญตามสูตร พ.ศ. 2494
แล้วประมาณ 1 หมื่นคน จากสมาชิกที่มีสิทธิ์ลาออกทั้งสิ้น 7 แสนคน
คาดว่าภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2558
ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการใช้สิทธิ์ลาออก จะมีสมาชิกลาออกราว 2.1 แสนคน หรือ
30% ของสมาชิกที่มีสิทธิ์ลาออก และอยู่ต่อ 5 แสนคน หรือ 70 %
ของสมาชิกที่มีสิทธิ์ลาออก
สำหรับเงินสะสมพร้อมผลตอบแทนซึ่งเป็นเงินที่หักจากรายเงินเดือน 3 %
ของข้าราชการรายนั้น
และเป็นเงินเพียงก้อนเดียวที่ผู้ประสงค์จะลาออกจะได้รับ
คาดว่าจะใช้เงินทั้งสิ้น 4 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินประเดิม เงินชดเชย
และเงินสมทบจากรัฐทั้งสิ้น 9 หมื่นล้านบาท ยังอยู่ใน
กบข.เพื่อนำมาบริหารงานต่อไป
“กรณีที่เลวร้ายที่สุดจะมีผู้ใช้สิทธิลาออกประมาณ 350,000 คน หรือ 50 %
ของผู้มีสิทธิ์ลาออก คาดว่าจะใช้เงินไม่เกิน 65,000 ล้านบาท ซึ่งกบข.
เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว โดยกบข.
มีรายรับจากการหักเงินเดือนและเงินสมทบประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากเงินปันผลและค่าเช่าอื่นๆ ด้วย
ขณะที่มีรายจ่ายให้สมาชิกที่เกษียณราว 2 หมื่นล้านบาทต่อปี
สุทธิแล้วกองทุนจะมีรายได้มากกว่ารายจ่าย 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะนี้กบข.
มีสินทรัพย์สุทธิ 703,809 ล้านบาท ดังนั้น การจ่ายเงินคืนคนลาออก
จะไม่ส่งผลกระทบต่อการสร้างอัตราผลตอบแทน ความมั่นคงของกองทุน
และไม่จำเป็นต้องขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่ออกไป
สินทรัพย์จะกลับมาเป็นปกติในช่วงกลางปี 2558 ”นายสมบัติกล่าว
จากการสำรวจความคุ้มค่าการลาออกพบว่า
ส่วนใหญ่ผู้ที่ลาออกจะเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ
ที่มีสิทธิได้อายุการทำงานพิเศษมากกว่าอายุ 60 ปี
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ถือว่าคุ้มค่า แต่กลุ่มอื่นที่จะลาออก
หากวัดตามผลประโยชน์ที่ได้รับถือว่าไม่คุ้มเพราะ
ส่วนต่างเงินเกษียณแบบเดิมน้อยกว่าเงินก้อน
ส่วนใหญ่ลาออกเพราะความเข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ผิดไปจากความเป็นจริง
โดยมีความเชื่อที่ผิดว่า
หากเข้าเป็นสมาชิกจะได้รับเงินหลักเกษียณเพียงแค่เงินก้อนที่เป็นดอกผลและ
เงินต้นจากเงินสะสมหักจากรายได้หักจากเงินเดือนของข้าราชการ3 %
และเงินที่รัฐประเดิม สมทบ รวมทั้งเงินชดเชยอีก 5 % เท่านั้น
ดังนั้น กบข. จึงเร่งทำความเข้าใจในหลักการว่า
หลังจากเกษียณข้าราชการที่เข้าเป็นสมาชิก กบข.
จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนจนเสียชีวิตเช่นเดิม
เพียงแต่อัตราเงินที่ได้รับในแต่ละเดือนจะมีสูตรคำนวณแตกต่างไปเล็กน้อย
นอกจากนี้สมาชิกจะได้รับสวัสดิการข้าราชการเหมือนระบบบำนาญเดิม
รวมทั้งเงินก้อนที่หักจากรายได้และเงินประเดิมชดเชย เงินสมทบจากภาครัฐ
และดอกผลที่สะสมในระหว่างทำงานอีกก้อนหนึ่ง
หากลาออกสมาชิกจะไม่ได้รับเงินก้อนดังกล่าว
และอาจต้องจ่ายเงินบางส่วนให้รัฐด้วย
นายสมบัติกล่าวว่า
สำหรับอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ในระดับเดียวกับการกองทุนรวมที่ให้
น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ หรือผลตอบแทนอาจมากกว่าในบางช่วงเพราะ
กองทุนกบข. ได้ลงทุนในหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ ในช่วง 17 ปี
สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ย 6.9 % ต่อปี ส่วนผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2557
ถึงปัจจุบันทำได้ 5.9 %
ลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรวมทั้งผลตอบแทนในการลงทุนหุ้นลดลง
สอดคล้องกับภาวะการเงินของโลก คาดว่าปี 2558 จะทำได้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
2-3 %
สำหรับสัดส่วนการลงทุน กบข. ลงทุนในพันธบัตร 63-64 % หุ้นในประเทศ 11.5 %
หุ้นต่างประเทศ 14 % และที่เหลือลงในอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม
กบข.อยู่ในระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง
เพื่อขอแก้เกณฑ์การลงทุนในต่างประเทศเป็น 35-40 % จากปัจจุบันกำหนดที่ 25 %
เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้น
ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557 |
โพสเมื่อ :
24 ธ.ค. 57
อ่าน 1580 ครั้ง คำค้นหา :
|
|