หนาวแน่! มติคตช. งัดม.44 ลัดคิวเด้งขรก.เอี่ยวทุจริต ล็อตแรก100ชื่อตั้งแต่ซี3-ซี11
มติ
คตช. งัดม.44เด้งขรก.เอี่ยวทุกจริต "วิษณุ"
ระบุ100ชื่อถือเป็นรุ่นแรกมีตั้งแต่ซี3-ซี11
ใช้อำนาจหัวหน้าคสช.เปิดตำแหน่งใหม่ให้อยู่ชั่วคราว
ให้จับตาโยกย้ายนอกฤดูจะมีมากขึ้น พร้อมเพิ่มอีก3โครงการใช้ข้อตกลงคุณธรรม
เตรียมชงครม.ให้ไทยสมัครสมาชิกโครงการต้านโกงของนอร์เวย์
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 21 เมษายน ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
นำแถลงผลการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)
โดยมีคณะกรรมการ และอนุกรรมการชุดต่างๆของคตช. ร่วมแถลงด้วย
นายวิษณุ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมคตช.ครั้งที่ 3/2558
โดยวาระสำคัญวันนี้แบ่งเป็น3เรื่อง เรื่องที่1
เป็นการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการงานของอนุกรรมการชุดต่างๆของคตช.
2.เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่สืบเนื่องมาจากการประชุมสองครั้งแรก ในเรื่องของ
"ข้อตกลงคุณธรรม"
ซึ่งหมายถึงข้อตกลงที่หน่วยของรัฐทำกับเอกชนโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกที่มี
ความเป็นกลางเข้ามาช่วยตรวจสอบการทำสัญญาของรัฐและ3.เรื่องเกี่ยวกับข้อเสนอ
ว่าการที่เราจะแสดงความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐที่นอกจากอาศัยความร่วม
มือในประเทศแล้วต้องอาศัยกติกาที่เป็นสากลเพื่อเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีนโย
บายสนับสนุนให้ประเทศไทยสมัครเป็นสมาชิกองค์กรหรือเข้าร่วมโครงการระหว่าง
ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส
นายวิษณุกล่าวถึงกรณีข้าราชการ100รายชื่อที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริต
แห่งชาติ(ศอตช.)ระบุว่าเข้าข่ายการทุจริตว่า
พลเอกประยุทธ์ในฐานะประธานที่ประุชุมแจ้งในที่ประชุมถึงเรื่องดงกล่าวให้ที่
ประชุมคตช.รับทราบ
ซึ่งมีการรายงานมาที่นายกเป็นที่เรียบร้อยแล้วในขั้นตอนขณะนี้ ซึ่งถือว่า
100 รายชื่อนี้เป็นรุ่นที่หนึ่ง
ส่วนรุ่นต่อไปก็มีการตรวจสอบไปเรื่อยๆ
ซึ่งรายชื่อเหล่านี้ไม่ได้มาจากรัฐบาล แต่มาจากองค์กรตรวจสอบ ได้แก่
คณะกรรมการป.ป.ช. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง) ป.ป.ท
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)
ที่มีหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว
"ซึ่งมีการตรวจสอบก่อนที่คสช.จะเข้ามา
แต่บางครั้งเรื่องเรื่องเงียบหรือไม่มีความคืบหน้า
แต่รัฐบาลนี้ก็เข้ามาดำเนินการ โดยไม่ได้เป็นการแก้แค้น ไม่ต้องการปิดประตู
ใครไม่ผิดก็ปล่อยออกไป ใครผิดก็ต้องดำเนินการไม่ต้องลูบหน้าปะจมูก
ไม่ต้องหนีเสือปะจรเข้ มีการส่งชื่อ ส่งประวัติ
ส่งพฤติกรรมมาที่คณะทำงานเพื่อประมวล ก็พบว่ามีชื่อซ้ำ พฤติกรรมซ้ำ
จึงมีคนที่เกี่ยวข้องในข่ายด้วยข้อหาที่ต่างกันมาก
ที่ยังไม่อาจปักใจได้ว่าคนนับร้อยนั้นทุจริต
เพราะถ้าตราหน้าเขาทุจริตก็ต้องถึงมีการฟ้องร้อง"นายวิษณุ กล่าว
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า
ที่จริงเรื่องพวกนี้ตนรายงานในที่ประชุมแม่น้ำห้าสายแล้วว่าที่รัฐบาลจับตา
ดูอยู่ ซึ่งมี 30 คดี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐสามารถตอบได้
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อหาของประชาชน
แต่ชื่อข้าราชการที่ส่งมาวันนี้อยู่ในข่ายที่คิดว่าเมื่อคิดว่าเป็นคนของ
รัฐบาล เจ้าน้าที่ฝ่ายบริหาร ข้าราชการ ก็ต้องคิดว่าจะจัดการยังไง
บางคนปล่อยเขาไปเพราะไม่ถึงจับให้มั่นคั้นให้ตายเพราะหลักฐานไม่ชัดเจน
แต่บางพวกถ้าปล่อยให้อยู่ต่ออาจจะเป็นปัญหาในการไป
หยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานจนอาจทำให้เสียรูปคดีหรือเป็นปัญหาในทางปกครอง
จึงทำให้คิดว่าจะจัดการอย่างไรในเชิงบริหาร จึง
ไม่มีอะไรมากกว่าการโยกย้ายสลับสับเปลี่ยน
การเอามาแขวนให้พ้นจากตำแหน่งเดิม เพื่อแสดงว่าเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา
"จากนี้จะเห็นการแต่งตั้งโยกย้ายนอกฤดูกาลเกือบครึ่ง
ที่โดยปกติจะโยกย้ายช่วงเดือนตุลาคม ส่วนการโยกย้ายช่วงเม.ย. จะมีแค่ตำรวจ
ทหาร แต่ก็จะเห็นมากขึ้นเพื่อจัดการกับคนบางประเภท
แต่ต้องย้ำว่ายังไม่ถึงกับการทุจริต"นายวิษณุ กล่าว
นายวิษณุ กล่าวอีกว่าการโยกย้ายจะมี 3 ประเภท กับคน3ประเภท คือ หนึ่ง
เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ไม่เกี่ยวกับร้อยกว่าชื่อที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี สอง
เรื่องของการสลับสับเปลี่ยนเพื่อประสิทธฺิภาพของงาน ที่
คนเดิมที่อยู่อาจจะไม่ถนัดงานนั้น ก็ไม่ได้ผิดไม่ได้มัวหมอง
แต่ต้องจำเป็นต้องสลับจากกรมนี้ไปกรมโน้น และ สาม
นับร้อยคนที่มีการส่งชื่อมา
ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่าร้อยกว่าคนที่ว่าอยู่ในขั้นจะต้องจัดการทั้งหมดหรือ
ไม่ ซึ่งพบว่ามีตั้งแต่ซี 3ถึงซี11 เรียกว่ามีตั้งแต่ผู้น้อยถึงผู้ใหญ่
ที่ขณะนี้นายกฯให้ผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบว่าใครอาจจะไม่ต้องไปกระทบกระเทือน
อะไรเพราะอยู่ไปก็ไม่ยุ่งเหยิงหรือไม่ทำให้เสียรูปคดีได้หรือไม่ไ่ด้เป็น
ผู้ใหญ่มากนักแต่อย่างน้อยก็ต้องให้รู้ว่ามีข้อหาที่ต้องสอบสวนต่อไป
"แต่ในเรือนร้อยมีไม่มากนักที่อาจทำให้ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานจนเสียรูปคดี
ที่อยู่แล้วอาจจะไม่ได้รับความเคารพจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะทำให้ผู้ใต้
บังคับบัญชาไม่กล้าข้อมูลก็อาจจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายที่อาจจะทำแบบปกติทั้ง
เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)
และบางกรณีที่เป็นข้าราชการระดับสูงอาจจะหาตำแหน่งรองรับ
ที่ในระบบปกติหาตำแหน่งได้ยากเพราะตำแหน่งเต็มหมดแล้ว
ซึ่งอาจจะใช้มาตรการชั่วคราว
ดังที่เคยใช้มาแล้วที่หัวหน้าคสช.ใช้อำนาจตามมตรา44
ที่อาจจะสร้างตำแหน่งใหม่ขึ้นมา โดยให้หลักประกันว่าเป็นมาตรการชั่วคราว
ถ้าไม่ผิดก็กลับมาตำแหนงเดิม ถ้าผิดก็เลี้ยวขวาไปอีกทางหนึ่ง"นายวิษณุ
กล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องใช้มาตรา 44
ในการโยกย้ายข้าราชการ เนื่องจากหากใช้กระบวนการตามปกติ จะเกิดความล่าช้า
เพราะกว่าคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)จะอนุมัติ อาจใช้เวลาหลายเดือน
ส่วนตำแหน่งที่จะให้บุคคลที่โดนโยกย้ายออกเข้ามาทำหน้าที่
รัฐบาลกำลังตัดสินใจแต่ไม่ให้อยู่กระทรวงเดิมแน่นอน
ทุกคนจะมาประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรี อาจเป็นที่ปรึกษานายกฯ อย่างไรก็ตาม
ตนไม่อยากใช้คำว่าสุสานคนโกง เพราะหลายคนสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร
เมื่อถามว่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า
หากบุคคลใดไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่จะถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด นายวิษณุ
อาจไม่ถึงกับเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญโดยละเอียด
แต่จะเขียนในภาพกว้างเพราะสภาต่างๆที่ถูกแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หาก
ทำได้จริงก็จะเข้ามาช่วยตรวจสอบข้าราชการอยู่แล้ว
"วันนี้ปัญหาของการทุจริตคือคนไทยเห็นแก่หน้ากันไม่กล้าทำอะไรกันมากความ
จริงผมได้เรียนกับนายกฯไปว่าไม่ต้องไปดูรายชื่อว่าเป็นใครบ้างเพราะหากไปดู
จะเกิดความรู้สึกสิ่งแรกที่รัฐบาลต้องยอมรับคือทุกหน่วยงานรายงานมาให้
รัฐบาลทราบ
เรามีหน้าที่จัดประเภทและสอบถามไปยังต้นสังกัดว่าดำเนินการถึงขั้นตอนใดแล้ว
หากอยู่ในขั้นสอบสวนก็ขอให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต้นสังกัด
แต่รายไหนที่นั่งทับตำแหน่งตัวเองอยู่โดยไม่ทำอะไร
รัฐบาลมีหน้าที่เข้ามาดำเนินการ
ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องการคือทำให้การตรวจสอบการทุจริตมีความศักดิ์สิทธิ์
เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการปฏิรูป"นายวิษณุ
กล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า
ตนไม่ห่วงข้าราชการระดับล่างเท่าข้าราชการระดับบนรวมถึงนักการเมืองด้วย
อย่างไรก็ตามนายกฯ ได้มอบคำสั่งว่าหากนายกฯ
กลับจากการปฏิบัติภารกิจระหว่างประเทศแล้ว หน่วยงานต่างๆ
สามารถส่งรายชื่อข้าราชการที่ส่อว่าทุจริตเข้ามาได้อีก
ส่วนนักการเมืองหรือข้าราชการใครทุจริตมากกว่ากันนั้น
มองว่านักการเมืองไม่มีโทษทางวินัย
หากจะจัดการต้องมีการฟ้องร้องเพียงอย่างเดียว
ส่วนข้าราชการสามารถโยกย้ายได้
นายวิษณุ กล่าวว่า นายกฯได้เน้นมาตรการ 4 ขั้นตอน
จากเบาสุดไปหาหนักสุดในการทำงานตรวจสอบการทุจริต หนึ่ง
มาตรการเบาสุดคือทำให้ผู้กระทำผิดหรือผู้ที่มีแนวโน้มกระทำผิดต้องยั้งคิด
คือหยุดนึกว่าถ้าทำต่อจะเสียหาย โดยให้กลับไปปฏิบัติตามกฎหมาย อาทิ
พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร และพ.ร.บ.อำนวยความสะดวก
ที่ต้องพูดจาปราศัยกับประชาชนอย่างไร ใช้เวลาในการทำงานเท่าไร
ถ้าทำงานตามนี้ก็หมดเรื่อง ขั้นที่สอง จะถูกตรวจสอบ
ถ้ายังทำผิดต่อไปก็ต้องตรวจสอบ
ว่าที่ฝ่าฝืนนั้นผิดหรือประมาทหรือจงใจหรือไม่
องค์กรต่างๆก็จะเข้ามาตรวจสอบ อาทิ ป.ป.ง ป.ป.ท สตง. และคตร.เข้ามาตรวจสอบ
ซึ่งพบว่ามีการรายงานลับมาถึงนายกเป็นจำนวนมาก สาม จัดการในทางบริหาร
โดยยังไม่ฟ้องร้อง ยังไม่ไปถึงศาล จะเป็นการย้ายออกจากจุดที่ล่อแหลม
หรือหาหลักฐานดำเนินคดี ซึ่งบางคนปล่อยได้
แต่บางคนปล่อยแล้วในภาษากฎหมายขืนอยู่จะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานจนเสียรูป
คดี แบบนี้ต้องเอาออก และ สี่ ฟ้องร้องดำเนินคดี ฐานทุจริต
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา157 ก็จะต้องดำเนินคดี
ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558 |
โพสเมื่อ :
22 เม.ย. 58
อ่าน 1896 ครั้ง คำค้นหา :
|
|