สพฐ.เตรียมประกาศโครงสร้างเวลาเรียนประถมฯใหม่ เผยยืดหยุ่นตามเหมาะสม
สพฐ.เตรียมประกาศแนวปฏิบัติจัดโครงสร้าง
เวลาเรียนระดับประถม เปิดกว้างให้โรงเรียนยืดหยุ่นเวลาเรียนได้ตามเหมาะสม
โดยเน้นการบูรณาการหลักสูตรในแต่ละกลุ่มสาระฯ ลดความซ้ำซ้อนเนื้อหา
ลดภาระงานเวลาเดิมของผู้เรียน
ระบุโครงสร้างเดิมกำหนดกรอบเวลาเรียนไม่น้อยกว่า 1 พันชั่วโมงต่อปี
วันนี้ (7 เม.ย.) นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(เลขาธิการ กพฐ.)
เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ว่า
ที่ประชุมเห็นชอบร่างแนวปฏิบัติในการจัดโครงสร้างเวลาเรียนระดับประถมศึกษา
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551
ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างเวลาเรียน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติม และเกณฑ์การจบหลักสูตร
เพื่อให้สถานศึกษานำไปปรับใช้ให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดการเรียนการสอน
ทั้งนี้ โครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรแกนกลางกรศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
นั้นกำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนรวมสำหรับระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า
1,000 ชั่วโมงต่อปี ดังนี้ รายวิชาพื้นฐาน 840 ชั่วโมงต่อ ปี แบ่งเป็น
ภาษาไทย ป.1-3 จำนวน 200 ชั่วโมงต่อปี ป.4-6 จำนวน 160 ชั่วโมงต่อปี
คณิตศาสตร์ ป.1-3 จำนวน 200 ชั่วโมงต่อปี ป.4-6 จำนวน 160 ชั่วโมงต่อปี
วิทยาศาสตร์ ป.1-6 จำนวน 80 ชั่วโมงต่อปี สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ป.1-6 จำนวน 120 ต่อปี สุขศึกษาและพลศึกษา ป.1-6 จำนวน 80 ชั่วโมงต่อปี
ศิลปะ ป.1-6 จำนวน 80 ชั่วโมงต่อปี การงานอาชีพและเทคโนโลยี ป.1-3 จำนวน 40
ชั่วโมงต่อปี ป.4-6 จำนวน 80 ชั่วโมงต่อปี และภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ)
ป.1-3 จำนวน 40 ชั่วโมงต่อปี ป.4-6 จำนวน 80 ชั่วโมงต่อปี
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 120 ชั่วโมงต่อปี รายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติม
ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อปี
“กรอบเวลาที่กำหนดไว้ในโครงสร้างเวลาเรียน
เป็นตัวเลขที่นักเรียนสามารถเรียนและบรรลุการเรียนรู้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
ไว้ แต่ต่อไปหากสถานศึกษาใดมีความจำเป็น ต้องการปรับลด
หรือเพิ่มเวลาเรียนในวิชาพื้นฐานแต่ละกลุ่มสาระฯ
เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา ก็สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เรียนจะต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานหรือตัวชี้วัดที่แต่ละ
กลุ่มสาระกำหนด นอกจากนั้น ยังสามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนรู้
ในแต่ละกลุ่มสาระฯ ที่สอดคล้องกันมาจัดการเรียนรู้ร่วมกัน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา ลดภาระงานและเวลาเรียนของผู้เรียน”นายกมล
กล่าว อย่างไรก็ตาม จากนี้
สพฐ.จะไปจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมและรายงานให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น
ฐาน (กพฐ.) ได้รับทราบ ก่อนประกาศเป็นแนวปฏิบัติฯ
เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 นี้
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 เมษายน 2558 |
โพสเมื่อ :
08 เม.ย. 58
อ่าน 1745 ครั้ง คำค้นหา :
|
|