“ณรงค์”เผยคณะกรรมการอำนายการปฎิรูปการ
ศึกษาฯ ปรับเกณฑ์กำหนดขนาดห้องเรียนใหม่ ระดับปฐมวัย-ประถมศึกษา ไม่เกิน 30
คนต่อห้อง และมัธยมศึกษาไม่เกิน 40 คนต่อห้อง สั่ง สพฐ.ทำให้ได้ใน 5 ปี
พร้อมยกเลิกสอบลาส และลดกิจกรรมเด็ก-ครู
วันนี้ (26 มี.ค.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
จากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)
ปรับเกณฑ์กำหนดขนาดห้องเรียนใหม่
เพื่อลดขนาดห้องเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานลง ดังนี้
ระดับปฐมวัยและประถมศึกษามีนักเรียนไม่เกิน 30 คนต่อห้องเรียน
และระดับมัธยมศึกษา มีนักเรียนไม่เกิน 40 คนต่อห้องเรียน
ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปีนับตั้งแต่ปีการศึกษา 2558
ซึ่งการกำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนให้น้อยลงนั้น
จะส่งผลให้ครูเอาใจใส่แก่นักเรียนมากขึ้น
และลดความเครียดในการจัดการเรียนการสอนของครู
“ มาตรการกำหนดขนาดห้องเรียนใหม่จะยังไม่ดำเนินการในตอนนี้
เพราะต้องแจ้งให้โรงเรียนเตรียมความพร้อมก่อน ดังนั้น สิ่งที่
สพฐ.ต้องไปดำเนินการ คือ การปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ
ที่อยู่รอบโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงให้มีศักยภาพสูงขึ้น
ผมเข้าใจหัวอกพ่อแม่ที่ต้องการให้บุตรหลานของตนเองได้เข้าเรียนในโรงเรียน
ที่ดี มีชื่อเสียง แต่หาก
สพฐ.สามารถยกระดับโรงเรียนพื้นที่ใกล้เคียงให้มีคุณภาพ
และเป็นที่ยอมรับเทียบเท่าโรงเรียนดัง
ก็เชื่อว่าผู้ปกครองจะส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนเหล่านี้เช่นเดียวกัน”
รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวต่อไปว่า
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้ยกเลิกการสอบประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้น
ฐานระดับเขตพื้นที่การศึกษา หรือ ลาส
สำหรับนักเรียนชั้นป.2,ป.4,ป.5,ม.1,ม.2และ ม.5 ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป
เพราะที่ผ่านมาโรงเรียนก็จะมีการทดสอบในแต่ละช่วงชั้นอยู่แล้ว
ดังนั้นหากยกเลิกการสอบลาส
ไปก็จะทำให้ประหยัดงบประมาณและนักเรียนไม่เกิดความเครียดจากการประเมิน
ขณะเดียวกันประชุมยังมีการพิจารณาให้ยกเลิกการจัดสอบประเมินคุณภาพการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน หรือเอ็นที สำหรับนักเรียนชั้น ป.3 ด้วย
แต่ที่ประชุมเห็นว่าการสอบเอ็นทียังมีความจำเป็น
เพราะเป็นการทดสอบว่าเด็กมีจุดอ่อนหรือจุดด้อยในวิชาใดบ้าง
และควรจะปรับปรุงและพัฒนาในด้านใดบ้าง
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมให้ สพฐ.ไปปรับลดกิจกรรมนักเรียนลง
เพราะปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ มีกิจกรรมมากเกินไป ทำให้ครู
และนักเรียนไม่มีเวลาอยู่ในห้องเรียน โดยที่ผ่านมานักเรียนและครู
ต้องออกไปทำกิจกรรมต่างๆนอกห้องเรียนเฉลี่ยปีละ 84 วัน
จากเวลาเรียนทั้งหมดประมาณ 200 วัน เท่ากับว่าเด็กใช้เวลาทำกิจกรรม ถึง 40%
ขอเวลาเรียนทั้งหมด ซึ่งมากเกินไป ดังนั้น จะต้องไปปรับลดกิจกรรมต่างๆให้
เหลือไม่เกิน 10% หรือ ประมาณ 20 วันของเวลาเรียนทั้งหมด
โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อบูรณาการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน
ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ และ เรื่องนี้ ศธ.จะประกาศเป็นนโยบาย โดยในปีการศึกษา
2558 กิจกรรมของนักเรียนจะต้องลงลดลงเห็นได้ชัด.
ที่มา เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2558