"ดาว์พงษ์"รุกคืบขั้นที่ 2 ลดวิชาการเด็ก ป.1 มุ่งสู่ปฏิรูปเต็มสูบ
เรื่องการศึกษาถือว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจมาก
เพราะถือเป็นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
และในยุค พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(รมว.ศธ.) ก็ถือว่าต้องรับบทหนักไม่น้อย เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากที่รัฐบาล
คสช.จะบริหารประเทศ
ดังนั้นการผลักดันเรื่องการปฏิรูปการศึกษาจึงต้องดำเนินการอย่างเข้มข้น
เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนจะเลือกตั้งในปี 2560
และเพื่อจะส่งไม้ต่อให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งดำเนินงานต่อได้ทันที
อย่างไรก็ตาม
แม้จะมีแผนจากการระดมความคิดกูรูด้านการศึกษาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
มาแล้ว แต่การขับเคลื่อนเพื่อให้เห็นรูปธรรมของการปฏิรูป
เชื่อว่ายังต้องมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องดำเนินการ
รุกคืบไปข้างหน้า และในฐานะผู้นำ
พล.อ.ดาว์พงษ์ก็ต้องพยายามที่จะเร่งรัดบริหารจัดการเรื่องต่างๆ
ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิรูป
ในโอกาสนี้ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศธ.ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ
โดยกล่าวว่า การปฏิรูปการศึกษาจะต้อง โดยปรับปรุงจาก พ.ร.บ.การศึกษา พ.ศ.
2542
และในบางเรื่องที่มีความสำคัญและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนก็จะใช้มาตรา 44
เข้ามาช่วย
ทั้งนี้ ส่วนหลักของการศึกษาก็คือ ครูและเด็ก
เห็นว่าครูเป็นส่วนสำคัญของการศึกษา และต้องให้ความสำคัญกับการผลิตครู
ไม่ว่าเป็นเรื่องความรู้ความสามารถ เรื่องเทคนิคการสอนในแต่ละวิชา
ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงชั้นด้วย
ซึ่งตนก็ได้ให้นโยบายไปกับกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแล้วว่าต้องสร้างจุดแข็งใน
ด้านการผลิตครู ทั้งนี้ทางกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏก็รับทราบในนโยบาย
แต่อย่างไรก็ดีการทำเรื่องต่างๆ
ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่ว่าตนสั่งแล้วอธิการบดีรับไปทำได้เลย
หากว่าแต่ละเรื่องที่มหาวิทยาลัยจะดำเนินการจำเป็นต้องผ่านมติของสภา
มหาวิทยาลัยและ พ.ร.บ.ของตนเองเสียก่อน
และในหลายมหาวิทยาลัยก็มีหลักสูตรการสอนเรื่องเทคนิคอยู่บ้าง
และเราก็ต้องยอมรับว่าเรื่องเทคนิคการสอนนั้นเป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้า
ใจและถ่ายทอดการสอนของครูแต่ละคน เป็นความสามารถเฉพาะตัว
ซึ่งยากแก่การสอนหรือถ่ายทอดให้ผู้อื่น
ในปัญหาเรื่องสร้างครูรุ่นใหม่ พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าวว่า ตนได้รับนโยบายสมัย
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี อดีต รมว.ศธ.
เรื่องโครงการครูผู้ทรงคุณค่าต่อแผ่นดิน
ที่จ้างครูเกษียณอายุและมีความสามารถกลับมาสอนในสาขาที่ขาดครู
และโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (โครงการคุรุทายาท)
ที่จะผลิตครูที่มีคุณภาพได้ตรงตามพื้นที่ มาดำเนินการต่อ
นอกจากนี้ยังมีโครงการซ่อมบ้านพักครูทั่วประเทศ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ครูอีกด้วย
ผลงานเด่นของ พล.อ.ดาว์พงษ์ขณะนี้ก็คือ นโยบาย "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้"
แต่ขณะเดียวกันเรื่องของ "หลักสูตร" เป็นอีกสิ่งสำคัญที่
รมว.ศธ.บอกว่าจะต้องพัฒนาปรับปรุงด้วยเช่นกัน
ซึ่งขณะนี้ตนเองได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการในส่วนของการศึกษาขั้น
พื้นฐานแล้วถึง 3 ชุดด้วยกัน
โดยได้มอบนโยบายให้คณะทำงานไปศึกษาว่าเด็กประถมจำเป็นต้องเรียนทั้ง 8
กลุ่มสาระหรือไม่ หรืออาจจะเรียนเพียง 5 กลุ่มสาระ
และเพิ่มกลุ่มสาระตามระดับชั้นเรียน
ซึ่งการปรับในลักษณะนี้จะสอดรับกับโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
เพราะไม่ได้เป็นการปรับการเรียนหรือเนื้อหาในวิชาหลักลง
แต่ปรับลดในส่วนที่โรงเรียนเรียนเสริมมาเท่านั้น
โดยคิดว่าหลักสูตรใหม่จะสามารถนำไปใช้ทดลองในเทอมที่ 2 ของปีการศึกษา 2559
ในส่วนของอาชีวศึกษาที่ทำหน้าที่ผลิตกำลังคนเพื่อตอบสนองความต้องการของ
ประเทศ และช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น ขณะนี้สิ่งที่ต้องทำคือ
การผลิตคนให้เร็วและตรงกับความต้องการมากที่สุด ทาง
ศธ.จึงร่วมมือกับภาคเอกชน ตั้งคณะกรรมการยกระดับวิชาชีพ
และคณะกรรมการยกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและพัฒนาผู้นำ
ซึ่งจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเรื่องการผลิตกำลังคนให้ตรงสายงาน
และเร็วขึ้นแน่นอน
เพราะการปรับหลักสูตรในแต่ละครั้งเราต้องมองยาวไปว่าเมื่อเด็กจบหลักสูตรจะ
สามารถศึกษาต่อได้หรือไม่ เรียนต่อในสาขาอะไร
สาขาเหล่านั้นจะสามารถต่อสู้กับต่างประเทศได้หรือไม่
ทำให้ต้องมีการบูรณาการเรื่องหลักสูตรของทุกองค์กรหลักเข้าด้วยกัน
สำหรับการปฏิรูประบบบริหารจัดการภายใน ศธ. พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าวว่า
นายกรัฐมนตรีได้สั่งว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องไม่เป็นการสร้างปัญหาใหม่
แต่อย่างที่รู้กันว่า การปรับโครงสร้างใหม่จะต้องเกิดปัญหาแน่นอน
อย่างนั้นตนไม่ทำได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ เพราะโครงสร้างของ
ศธ.เป็นปัญหาหลักในการบริหารในปัจจุบัน
"เมื่อผมรู้แล้วว่าการปรับโครงสร้างจะต้องเกิดปัญหา
ก็ต้องลงไปดูว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่คิดว่าจะเกิดขึ้น
เมื่อปรับแล้วผมก็ต้องไปแก้ปัญหาตรงนั้นไว้ล่วงหน้าด้วย
ทำให้การปรับโครงสร้างจะต้องดูกันอย่างละเอียด
และต้องยอมรับว่ากระทรวงศึกษาฯ มีปัญหาสะสมอยู่พอสมควร และการปรับในทุกๆ
เรื่องผมขอยืนยันว่าไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเอง
แต่แนวคิดแนวทางการปฏิรูปมาจากคนในกระทรวงที่ประสบปัญหาและต้องการการแก้ไข
แต่ก็จะทำให้ทันทีไม่ได้เช่นกัน
ต้องมีการฟังเสียงจากนักวิชาการและความต้องการของสังคมด้วย
แต่อยากสร้างความเข้าใจว่า
การปรับโครงสร้างนั้นไม่ได้แปลว่าทุกที่จะมีปัญหาทั้งหมด
บางที่ก็มีดีอยู่แล้วแต่อาจจะดีไม่พอในสถานการณ์นี้
กับการแข่งขันในทุกวันนี้ จึงต้องมีการปรับให้ดีขึ้นไปอีก
ทำให้ต้องมาดูที่ระบบและบุคลากรว่าตรงไหนที่ทำให้ติดขัดในเรื่องอะไร
และทลายให้สามารถทะลุและเดินไปอย่างราบรื่นได้"
พล.อ.ดาว์พงษ์ยอมรับว่า
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างก็จะมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
ทำให้ต้องบริหารให้พอดี ไม่ใช่อยากจะปรับก็ปรับ แต่ต้องบริหารคนด้วย
ดังนั้นถ้าจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างคงต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน
ทำความเข้าใจกับทั้งคนในกระทรวงและสังคมภายนอก
เราจึงไม่สามารถประกาศได้ว่าจะปรับวันไหน เมื่อไร
หรือจะยุบหรือไม่ยุบหน่วยงานใด จะต้องมีเหตุผลรับรองในทุกเรื่อง
ถ้าจะยุบก็ต้องไปดูว่าทำไมหน่วยงานนั้นถึงเกิดมา เกิดมาเพื่ออะไร
และถ้าหากจะยุบจริงๆ ก็ต้องมีเหตุผลมาหักล้างให้ได้
"และผมจะไม่ปรับการบริหารเฉพาะใน ศธ.เท่านั้น
ตอนนี้ผมกำลังหาเส้นขอบเขตการกระจายอำนาจที่เหมาะสม
เพราะนโยบายของเรามุ่งสู่การกระจายอำนาจอยู่แล้ว
กระทรวงเรามีปัญหาเรื่องการบริหารงานบุคคล
ที่จากส่วนกลางนำไปสู่ภูมิภาคยังไม่มีประสิทธิภาพพอ แต่ในส่วนของการ
กระจายอำนาจก็ต้องมีการศึกษาว่าจะทำอย่างไร จะต้องทำแค่ไหน
หรือจะต้องกระจายให้เฉพาะใคร สำหรับตัวผมเองเห็นด้วยจริงๆ
ถ้าเมื่อไรที่มีการ กระจายอำนาจ ศธ.จะเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก
ที่เหลือจะให้โรงเรียนแข็งขันกันเอง พัฒนากันเอง
แต่ในทางปฏิบัติจริงจะสามารถเดินไปถึงตรงนั้นจริงหรือไม่
และเดินไปได้ขนาดไหนเราต้องมาศึกษากัน" รมว.ศธ.กล่าว
อย่างที่รู้กัน จากข่าวในกระแสต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ว่า
ศธ.เองก็ยังมีปัญหาภายใน ก็คือเรื่องการทุจริต
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีคนเยอะและได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวนมาก
พล.อ.ดาว์พงษ์ได้ให้แนวทางในเรื่องนี้ว่า
ตอนนี้รัฐบาลก็ช่วยเหลือในเรื่องนี้มาก เพราะมีปัญหาลักษณะนี้ในทุกกระทรวง
แต่ต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาทุจริตไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับตัวเขานั้นจะเริ่มจากการแก้กฎกติกา
อะไรที่มันเหมือนจะเป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริตก็ปิดซะ
เพราะถ้ายังมีการเปิดช่องว่างไว้ วันหนึ่งก็ต้องมีการทุจริตเกิดขึ้น
ถ้าปิดไว้จะทำให้การเกิดทุจริตได้ยากขึ้น
และทุกวันนี้ไม่ว่าหน่วยงานไหนจะทำอะไรต้องแจงให้รู้เกี่ยวกับการใช้งบ
ประมาณอย่างละเอียดด้วยว่าเอาไปทำอะไรบ้าง ใช้ที่ไหน เท่าไร
เข้ากับแผนยุทธศาสตร์ที่มอบหมายหรือไม่
จะทำให้เราเห็นได้ว่ามีการทุจริตตรงไหน
ต้องไหนใช้เงินเยอะเกินจำเป็นก็จะไม่มีการอนุมัติ
เพราะตั้งใจว่างบประมาณจำนวน 5.1 หมื่นล้านของ ศธ.จะต้องไม่บูด
ทำให้ทุกวันนี้หน่วยงานต่างๆ
จะเสนองบประมาณเพื่อดำเนินโครงการจะต้องเสนอให้
รมว.ศธ.พิจารณาล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน
"ในทุกๆ เรื่องผมต้องทำให้เสร็จทันก่อนเลือกตั้งแน่นอน
ไม่งั้นผมจะเข้ามาทำอะไร และในปี 2559 นี้ก็จะมีผลงานต่างๆ
ที่กระทรวงกำลังเร่งทำให้แล้วเสร็จด้วย
เพราะเรื่องที่จะต้องปฏิรูปนั้นมีเยอะและมีเวลาที่กำจัด
แม้จะเหนื่อยเพราะต้องเร่งทำ แต่ก็ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งถ้า
ศธ.ตอนนี้เท่ากับศูนย์ คงไม่ยากที่จะบริหาร แต่
ศธ.มีการดำเนินการมาอยู่แล้ว อยู่ๆ ผมจะสั่งให้ได้อย่างใจนั้นคงยาก
ต้องหาเหตุผลมาหักล้างไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตาม แต่ถือว่าเป็นโชคดีของผม
ที่ในหลายๆ เรื่องที่ผมจะทำตรงกับความคิดเห็นของคนในกระทรวง
ทำให้การทำงานสามารถขับเคลื่อนไปได้".
"ได้มอบนโยบายให้คณะทำงานไปศึกษาว่าเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
จำเป็นต้องเรียนถึง 8 กลุ่มสาระหรือไม่ หรืออาจจะเรียนเพียง 5 กลุ่มสาระ
และเพิ่มกลุ่มสาระตามระดับชั้นเรียน
ซึ่งการปรับในลักษณะนี้จะสอดรับกับโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
เพราะไม่ได้เป็นการปรับการเรียนหรือเนื้อหาในวิชาหลักลง
แต่ปรับลดในส่วนที่โรงเรียนเรียนเสริมมาเท่านั้น
โดยผมคิดว่าหลักสูตรใหม่จะสามารถนำไปใช้ทดลองในเทอมที่ 2 ของปีการศึกษา
2559"
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
|
โพสเมื่อ :
11 ม.ค. 59
อ่าน 1794 ครั้ง คำค้นหา :
|
|