![]() |
คืบหน้าภายหลังจาก
ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.)
เดินเกมรุกเปิดโปงความไม่โปร่งในในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพ
ครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) องค์การค้าของ สกสค. และคุรุสภา
จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ สกสค. นั้น ล่าสุด ภตช.
ได้แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตกรณีเรียกรับผลประโยชน์ในการรับนัก
เรียนโดยไม่เป็นธรรม หรือ แป๊ะเจี๊ยะ น.อ. บัญชา รัตนาภรณ์ หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบการทุจริต
กรณีเรียกรับผลประโยชน์ในการรับนักเรียนโดยไม่เป็นธรรม ของภตช. กล่าวว่า
เพื่อให้การดำเนินงานของ ภตช. มีความสอดคล้องตรงกับพันธกิจที่ได้กำหนดไว้
และเป็นการสนับสนุนนโยบายด้านการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นของคณะรักษาความ
สงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะด้านปฏิรูปการศึกษา
ซึ่งพบว่าสถานศึกษาบางแห่งมีการเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ปกครองนักเรียนโดย
ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
กระทบกับการพัฒนาการศึกษาของชาติ ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อระเบียบกฎหมาย
และขัดต่อนโยบายของรัฐ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 17,25 และ 26
แห่งข้อบังคับของภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.)
พุทธศักราช 2554 ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการ เมื่อวันที่ 3 เมษายน
2558 น.อ.บัญชา กล่าวอีกว่า
จากการตรวจสอบการทุจริตกรณีเรียกรับผลประโยชน์ในการรับนักเรียนโดยไม่เป็น
ธรรม ปี2558 พบว่า ช่วงหลังสงกรานต์โรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง จำนวน 366
แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย
ในช่วงเวลาดังกล่าวปรากฏว่ามีจำนวนนักเรียนและผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก
เข้าแถวต่อคิวรอพบผู้บริหารโรงเรียน
เนื่องจากลูกหลานสอบไม่ติดชั้นมัธยมศึกษาปีที่1(ม.1 )และม.4
ซึ่งพบว่าผอ.ร.ร.บางแห่งแม้เด็กสอบไม่ติดแต่เปิดช่องให้ผู้ปกครองกรอกตัวเลข
จำนวนเงินที่จะบริจาคให้กับโรงเรียนเอาไว้ พร้อมออกใบเสร็จรับรอง " การเปิดรับแป๊ะเจี๊ย มีการประมูลเก้าอี้เรียนกันอย่างเปิดเผย
โจ่งครึ่ม ทั่วประเทศ คิดเป็นเงินจำนวนกว่า 12,000 ล้านบาท
ในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง 366 โรงเรียน
ซึ่งต้องการรับนักเรียนโรงเรียนละ 240 คน คิดเป็น 87.000 ที่นั่ง
ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และทำให้ประชาชนเดือดร้อน"น.อ.บัญชากล่าว น.อ.บัญชา กล่าวต่อไปว่า ไม่เพรยงเท่านั้น
พบว่าโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)
ทั่วประเทศกระทำผิด พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.
2545 และ พ.ร.บ. การบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ทั้งกรณี
มาตรา 10 ระบุให้เรียนฟรี 12 ปี แต่โรงเรียนมาเรียกเก็บ " ค่าบำรุงการศึกษา
"โดยอ้างจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการ และกรรมการสถานศึกษา เป็นเงินว่า
30,000 ล้านบาทในปี2558 "การจัดเก็บเงินค่าบำรุงการศึกษา จัดเก็บมา 12 ปี รวมวงเงิน 330,000
ล้านบาท ทั้งที่เรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองไม่ได้
เนื่องจากไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ถือเป็นการฉ้อโกงนักเรียนและผูัปกครอง
อีกทั้งกรณีแต่โรงเรียนได้กำหนดเกรดของเด็กที่จะเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย
เป็นการกระทำผิดกฎหมาย เป็นการลิดรอนสิทธิเด็ก
และเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์ของผู้บริหาร" น.อ.บัญชา กล่าว น.อ.บัญชา กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบ ยังบกว่า มีการนำใบเสร็จ "
ค่าบำรุงการศึกษา " ไปเบิกคืนจากราชการ เป็นเงินปีละกว่า 3,000 ล้านบาท
ซึ่งทำให้ราชการเสียหาย อีกทั้ง มีการใช้สมาคมผู้ปกครองและครู เป็นแหล่งรับผลประโยชน์
ซึ่งอาจเป็นแหล่งฟอกเงิน บางแห่งเป็นสมาคมเถื่อน
ตลอดจนกรณีโรงเรียนออกใบแจ้งหนี้นักเรียนระดับมัธยมที่ไม่ชำระค่าเรียน
และไม่ให้จบการศึกษา(ม.3/ม.6) เพราะไม่จ่าย ค่าเทอม เป็นการกระทำผิดกฎหมาย น.อ.บัญชา กล่าวต่อว่า ข้อสังเกตุ ในการรับนักเรียน
และการบริหารการศึกษาโดยไม่โปร่งใสเป็นธรรม มีการประกาศผลสอบนักเรียน
ไม่ได้ระบุคะแนน ระบุเพียงเลขที่ใบสมัคร และเรียงตามอักษร เท่านั้น
ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนฐานข้อมูลได้ ไม่โปร่งใส น.อ.บัญชา กล่าวต่อไปว่า กรณี ค่าหนังสือเรียนของนักเรียน
ซึ่งรัฐจ่ายให้เป็นรายหัวต่อปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยม เป็นเงิน 650 -
1,200 บาท เป็นเงินภาษีทั้งหมด 7,500 ล้านต่อปี กลับพบว่า
มีการใช้หนังสือเก่ามาให้เด็กเรียน นักเรียนได้หนังสือไม่ครบ 8
กลุ่มสาระวิชา ซึ่งอาจมีการทุจริตในกระบวนนี้จำนวนมาก ขณะเดียวกัน
ในโรงเรียนมีการแบ่งชนชั้นของนักเรียน เช่น ห้องพิเศษ, กลุ่มห้องคิงส์,
กลุ่มปานกลาง,กลุ่มทั่วไป และกลุ่มเรียนอ่อนและมีปัญหา รวม 5 กลุ่ม
ซึ่งไม่เป็นธรรม สร้างปมด้อยให้เด็ก
รวมถึงมีการเปิดสำนักติวหน้าโรงเรียนดัง
โดยครูผู้สอนนำข้อสอบมาเปิดเผยเป็นการทุจริตและทำลายระบบการศึกษา "เมื่อตรวจสอบพบแล้ว ภตช. จะส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงศึกษาธิการ
ให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธาน คตช.
และหากพบหลักฐานทุจริตจะส่งเรื่องถึงหน่วยงาน ป.ป.ช. และ ปปง.
ให้ยึดทรัพย์ตกเป็นเงินแผ่นดินต่อไป พร้อมกับเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 44
กำจัดปัญหาแป๊ะเจี๊ยะให้หมดไป"น.อ.บัญชา กล่าว รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ยุคขิงแก่ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาแป๊ะเจี๊ยะให้หมดไปจากสังคมไทยนั้น
เป็นเรื่องที่ทำได้อยากไม่น้อย
ตราบใดที่ความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครองอยากเข้าเรียนในโรงเรียนที่มี
การแข่งขันสูง
ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้มีที่นั่งเรียนน้อยแต่จำนวนเด็กสมัครเข้าเรียนจำนวนมาก
เช่น โรงเรียนรับได้ 300 คน แต่มีเด็กสมัคร 1,000 คน
ย่อมเกิดการแย่งชิงที่นั่งเรียนด้วยวิธีการต่างๆ "เงินเป็นอีกช่องทางที่จะทำให้ลูกได้เข้าร.ร.แข่งขันสูง
แต่การได้มาของเงินควรจะโปร่งใส และเป็นธรรมกับนักเรียนและผู้ปกครองคนอื่นๆ
ที่ไม่มีฐานะทางการเงิน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไข
เพื่อความเป็นธรรมกับเด็กทุกๆคน" รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวในที่สุด |
โพสเมื่อ : 08 พ.ค. 58 อ่าน 1439 ครั้ง คำค้นหา : |