ขึ้นเงินเดือนขรก.-จานด่วนขยับตาม จ่อปรับราคาอีกรอบ เตี๋ยว-ข้าวแกงบวก5บ. พณ.ฮึ่ม!

@อาหารจานเดียวจ่อขึ้นราคา

คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม มีมติเห็นชอบปรับเพิ่มรายได้แก่พนักงานราชการ ทั้งการเพิ่มค่าครองชีพให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และเพิ่มค่าตอบแทน (เงินเดือน) 4% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม เป็นต้นไป พร้อมทั้งขยายเพดานเงินเดือนขั้นสูงของทุกระดับประมาณ 10% แม้จะเป็นการช่วยเสริมรายได้และลดภาระค่าครองชีพของข้าราชการ แต่อีกด้านหนึ่งยังมีความกังวลว่าอาจจะมีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้า สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่กำลังประสบปัญหาค่าครองชีพสูงในขณะนี้

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าย่านประชานิเวศน์ เขตจตุจักร ต่างระบุว่า มติ ครม.ดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาอาหารต้องแพงขึ้นอีกแน่นอน เพราะทุกครั้งที่มีข่าวรัฐบาลขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะปรับขึ้นตามทันที ประกอบกับช่วงก่อนหน้านี้รัฐบาลเพิ่งประกาศปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ยิ่งจะทำให้ต้นทุนการทำอาหารสูงขึ้นไปอีก แม้กระทรวงพาณิชย์จะบอกว่าคำนวณแล้ว จะส่งผลให้ต้นทุนต่อจานเพิ่มขึ้น 30 สตางค์ จึงไม่มีเหตุผลในการขึ้นราคาอาหาร แต่ในความเป็นจริงต้องพิจารณาสินค้าตัวอื่นด้วย เพราะราคาผัก เนื้อหมู ก็ปรับราคาสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ราคาก๊าซหุงต้มอย่างเดียว ทำให้ร้านอาหารปรุงสำเร็จจำเป็นต้องขึ้นราคาอีกชามละ 5 บาท จากที่เคยขายอยู่ชามละ 30 บาท ต้องขยับเป็น 35 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจร้านอาหารต่างๆ พบว่าภายหลังทางการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มก็มีการปรับราคาขึ้นไปแล้ว อาทิ ร้านก๋วยเตี๋ยวมีการติดประกาศหน้าร้านขอปรับราคาขึ้นอีก 5 บาท จาก 40 บาทเป็น 45 บาทต่อชาม ร้านข้าวราดแกง ได้ปรับราคาขายอีก 5 บาท เช่นข้าวบวกกับข้าว 1 อย่าง ราคา 45 บาทต่อจาน ข้าวบวกกับข้าว 2 อย่าง 50 บาทต่อจาน เป็นต้น

@ พณ.ปรามอย่าฉวยโอกาส

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กล่าวถึงการดูแลราคาสินค้าว่า การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ไม่ใช่เหตุให้ผู้ค้าพ่อค้าอ้างขึ้นราคาสินค้า เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับต้นทุน จากการสำรวจราคาสินค้า ยังไม่พบความผิดปกติ ราคาวัตถุดิบยังทรงตัว ตรงกันข้ามในด้านต้นทุนยังจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ทำให้ค่าขนส่งถูกลง ขณะที่อาหารปรุงสำเร็จ ต้นทุนผัก เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ก็ถูกกว่าปีก่อนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน

อีกทั้งรัฐบาลได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ชะลอปรับขึ้นราคาสินค้าต่อไปจนถึงต้นปีหน้า และจัดกิจกรรมลดค่าครองชีพผ่านมหกรรมธงฟ้า ระหว่างวันที่ 11-15 ธันวาคมนี้ ที่อิมแพคเมืองทองธานี อย่างไรก็ตาม ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ออกตรวจสอบราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้เข้มงวดในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย

@บอร์ดค่าจ้างยันไม่ขึ้นค่าแรง

นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมบอร์ดค่าจ้าง ได้มีมติยืนยันให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ทั่วประเทศไปจนถึงปลายปี 2558 ตามมติเดิม เนื่องจากวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ พบว่า ขณะนี้ค่าครองชีพไม่มีการปรับขึ้น ราคาน้ำมันลดลง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ส่วนข้อเสนอของเครือข่ายแรงงานที่เรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น วันละ 321 บาท ยังไม่มีการยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการมายังบอร์ดค่าจ้าง แต่ก็ได้มีการหยิบยกมาพิจารณาร่วมด้วย

นายนครกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่แรงงานแสดงความเป็นห่วงว่าราคาสินค้าจะปรับเพิ่มขึ้นจากการที่ รัฐบาลปรับขึ้นค่าครองชีพให้แก่ข้าราชการนั้น ที่ประชุมพิจารณาว่าเป็นการปรับขึ้นแต่ค่าครองชีพเท่านั้น และจำนวนไม่มาก อีกทั้งรัฐบาลได้ให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยควบคุมราคาสินค้า ทั้งนี้ การพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างจะมีการหารือกันอีกครั้งในช่วงปลายปี 2558

@คสรท.เล็งสำรวจค่าครองชีพ

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า หากค่าครองชีพไม่มีการปรับขึ้น และไม่ปรับค่าจ้างขั้นต่ำก็คงไม่มีปัญหา แต่หากค่าครองชีพปรับตัวสูงก็ควรจะเพิ่มค่าแรงให้กับแรงงาน เพราะที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องนี้มาตลอด และขอฝากในเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อยากทราบว่าค่าขนส่งที่ปรับขึ้นไปช่วงน้ำมันราคาแพงจะมีการปรับลงหรือไม่

"คิดว่าจะมีการสำรวจค่าครองชีพในช่วงต้นปีหน้าในเดือนมกราคมถึงมีนาคม จากกลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า การที่น้ำมันลดราคาลงทำให้ค่าครองชีพปรับลดลงด้วยหรือไม่ หากสำรวจแล้วมีผลกระทบก็จะเสนอบอร์ดค่าจ้าง เพื่อพิจารณาถึงสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของแรงงาน ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ผมมองว่าอาจจะมีการฉวยโอกาสของพ่อค้าแม่ค้าบางกลุ่มปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะเห็นว่ามีการขึ้นเงินเดือน อยากให้รัฐบาลควบคุมราคาสินค้าด้วย" นายชาลีกล่าว

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557