สกสค.เล็งผุดกองทุน2หมื่นล.แก้หนี้ครูล้านล้านบ. ระยะยาวน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงปลดหนี้อย่างยั่งยืน



เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม นายพิษณุ ตุลสุข รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า สำนักงานสกสค. จะน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นหลักในการแก้ปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบ ซึ่งจากข้อมูลมีครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นหนี้ อยู่ประมาณ 1.4 ล้านคน เป็นหนี้เฉลี่ยรายละ 1.5-2 ล้านบาท มูลหนี้รวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาตนได้ตั้งคณะทำงานยกร่างแผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบ คาดว่าจะเสนอแนวทางให้พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการศธ. พิจารณา ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสกสค. กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหา แบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะเร่งด่วน ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกหนี้ขั้นวิกฤตจำนวน 35,000 คนก่อน โดยวิธีการช่วยเหลือจะแตกต่างกัน ดังนี้ 1.จัดตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาหนี้สินครู มีวงเงินเริ่มต้นกองทุน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งงบประมาณส่วนหนึ่งเป็นเงินหมุนเวียนของสำนักงานสกสค.เอง อีกส่วนจะขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น ๆ 2.เจรจากับธนาคารออมสิน เพื่อให้เป็นนโยบายสำคัญ ในการลดดอกเบี้ยให้กับผู้กู้ ในอัตรา 50 สตางค์ต่อปี และ3.สำหรับลูกหนี้ที่มีปัญหาวิกฤตเข้าขั้นไอซียู ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000-10,000 คน จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ หรือกรณีที่มีปัญหาหนักจริง ๆ เช่น พ่อแม่ ภรรยา หรือสามีเสียชีวิต ถูกฟ้องร้องล้มละลายจนถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย จะใช้กองทุนฯ เข้าไปช่วยเหลือเยียวยา ท้ายสุดถ้าแบกรับภาระหนี้ไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องพิจารณายกหนี้ให้ และหาแนวทางให้เขาสามารถตั้งตัวเพื่อให้มาปลดหนี้ในภายหลัง

“ที่บอกมาในเบื้องต้น คือการแก้ปัญหาระยะสั้น ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นจริงภายใน 1-2 เดือนนี้ ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว จะนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นหลักในการแก้ปัญหาหนี้สินครู โดยจะมีการจัดทำโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิตครูให้ดีขึ้น ทั้งนี้ ครูส่วนใหญ่ของเราไม่มีทรัพย์สินอื่นใด นอกจากปัญญา ดังนั้นสำนักงานสกสค. จะไปคิดว่าทำอย่างไร จึงจะนำภูมิปัญญาของครูมาแปลงเป็นทรัพย์สินได้ ซึ่งผมเองมีแนวคิดนำภูมิปัญญาของครูมาต่อยอด สร้างมูลค่า ในรูปแบบอีคอมเมิร์ซ โดยมีสำนักงานสกสค. เป็นตัวกลาง ใครสนใจศึกษาภูมิปัญญาเรื่องใด ก็เข้ามาช็อปปิ้ง เหมือนเลือกซื้อสินค้า และจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับครูเจ้าของภูมิปัญญา สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันจะทำการส่งเสริมการทำอาชีพให้ครูในรูปแบบอื่น ๆ ให้มีรายได้พอเพียง จะได้ไม่ต้องไปก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก”นายพิษณุกล่าว

 

 

ขอบคุณที่มาจากมติชนออนไลน์ วันที่ 20 ตุลาคม 2559


โพสเมื่อ : 21 ต.ค. 59   อ่าน 1496 ครั้ง      คำค้นหา :