ปั้นคนรับทุนญี่ปุ่นรุกอาเซียน สพฐ.ผนึกเจโทรหนุนเรียนภาษา ป้อนภาคอุตสาหกรรมรับยุคเออีซีบูม

          โพสต์ทูเดย์ สพฐ.เร่งปั้นบุคลากรภาษาญี่ปุ่นป้อนภาคอุตสาหกรรม รับทุนซามูไรบุกอาเซียน
          น.ส.อุษณีย์ วัฒนพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันภาษาอังกฤษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับทางองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เพื่อหาช่องทางในการสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เบื้องต้นเจโทรเสนอให้ดึงคนญี่ปุ่นกลุ่มที่เกษียณอายุและกลุ่มแม่บ้านชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทยให้มาเป็นครูช่วยสอนภาษาญี่ปุ่นให้ก่อน เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรที่จะเข้าทำงานในบริษัทร่วมทุนของญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน
          ยอมรับว่าครูภาษาญี่ปุ่นของไทยขาดแคลนจริง โดยปัจจุบันมีโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาญี่ปุ่น 230 แห่ง มีนักเรียนที่เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นประมาณ 5 หมื่นกว่าคนแต่มีครูภาษาญี่ปุ่นเพียง200 คน เท่านั้น ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นเองก็เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นตื่นตัวที่จะให้ความร่วมมือมากขึ้นน.ส.อุษณีย์ กล่าว
          ที่ผ่านมา การพัฒนาบุคลากรด้านภาษาญี่ปุ่นของไทยมีจำนวนน้อย เนื่องจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการของไทยกับทางญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือผ่านภาคเอกชนหรือสมาคม เช่น สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) และมูลนิธิญี่ปุ่น (Japan Foundation) เป็นหลัก ทำให้การพัฒนาบุคลากรไม่คล่องตัวเหมือนกับการพัฒนาบุคลากรภาษาจีนและเกาหลีที่ส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐ
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สพฐ.อยู่ระหว่างเตรียมแผนพัฒนาบุคลากรด้านภาษาญี่ปุ่นเข้าระบบเพิ่มปีละ 50 คน โดยเริ่มให้ทุนนักศึกษาในการเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพครู (ป.บัณฑิต) และไปอบรมภาษาที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งคาดว่ารุ่นแรกจะเข้าระบบได้ปี 2558
          ทั้งนี้ นักลงทุนจากญี่ปุ่นได้สำรวจและเสนอให้ประเทศในอาเซียนสนับสนุนการสอนภาษาญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มจำนวนครูด้านภาษามากขึ้น ด้วยการให้มหาวิทยาลัย นักศึกษา และคนญี่ปุ่นที่เกษียณแล้วเข้าไปทำงานในประเทศอาเซียนนาน 1 ปี
          นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความต้องการของระดับการศึกษาและสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงานญี่ปุ่น พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ต้องการผู้ที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในระดับสูง 36% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตต้องการผู้ที่จบการศึกษาด้านอาชีวศึกษา สาขาไฟฟ้าและเคมีในระดับสูง 36% และสำหรับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆเช่น ด้านการค้า ค้าปลีกก่อสร้าง การเงิน การขนส่ง หรือบริษัทหลักทรัพย์ ต้องการผู้ที่จบการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านภาษา28% ซึ่งถือเป็นความต้องการในระดับสูงเช่นกัน

          ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์