ห่วงลดวิชาสอบโอเน็ต ทำเด็ก "ไม่ตั้งใจเรียนศิลปะ-พละ-การงาน"
จากกรณี
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
มอบหมายให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือปรับลดวิชาที่จะทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ
ขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ซึ่งล่าสุด สทศ.ได้ลดจาก 8
กลุ่มสาระการเรียนรู้ เหลือแค่ 5 กลุ่มสาระฯ ได้แก่ คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา ส่วนศาสนาและวัฒนธรรม
เตรียมนำเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิจารณาเห็นชอบนั้น
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นายประสาท สืบค้า
ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า
ยังไม่ทราบรายละเอียดเพราะ สทศ.ไม่เคยหารือตน
ถ้าเป็นนโยบายจากส่วนบนที่ต้องการให้ลดวิชาสอบ คงต้องเชิญ
สทศ.มาให้ข้อมูลในการประชุม ทปอ.วันที่ 22 กุมภาพันธ์
ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) จ.นครราชสีมา
ซึ่งการประชุมดังกล่าวเดิมได้เชิญรัฐมนตรีว่าการ ศธ.มาให้นโยบาย
แต่ติดภารกิจ จึงมอบนายกฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.มาแทน
ทั้งนี้
ต้องพิจารณาว่าการลดวิชาโอเน็ตจะกระทบต่อคณะ/สาขาวิชาปลายทางที่รับเด็กหรือ
ไม่ ซึ่งต้องมาพิจารณาว่ามีกี่คณะ/สาขาวิชา ที่ใช้ 3 กลุ่มสาระฯ ได้แก่
สุขศึกษาและพลศึกษา, ศิลปะ และการงานอาชีพและเทคโนโลยี
และเมื่อไม่ใช้คะแนนโอเน็ตจาก 3 กลุ่มสาระฯ ดังกล่าว
จะใช้คะแนนจากส่วนไหนได้บ้าง
"เดิม ทปอ.ได้กำหนดสัดส่วนคะแนนระหว่าง 1.คะแนนจากการวัดความถนัดทั่วไป
(GAT) และการวัดความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ (PAT) 2.คะแนนโอเน็ต และ
3.คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX)
ซึ่งใช้เป็นองค์ประกอบในการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดม
ศึกษา (แอดมิสชั่นส์) ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว อย่างสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา
ถ้าไม่ใช้คะแนนจากกลุ่มสาระฯ สุขศึกษาและพลศึกษา เป็นต้น
จะใช้คะแนนจากส่วนไหนได้บ้าง หรือคณะ/สาขาวิชา
จะต้องจัดสอบกลุ่มสาระฯดังกล่าวเอง
เรื่องนี้ต้องหารือกันอย่างรอบคอบเพื่อให้กระทบนักเรียนน้อยที่สุด
การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์คะแนนและเงื่อนไขกะทันหันย่อมกระทบเด็กอย่างแน่นอน
ต้องประกาศให้นักเรียนรู้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัว 3 ปี ดังนั้น
ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะทำอย่างไร
เพราะไม่ใช่แค่กระทบแค่นักเรียนที่จะแอดมิสชั่นส์ 4-5 แสนคน
แต่จะกระทบถึงเพื่อนๆ และผู้ปกครองนักเรียนอีกด้วย" นายประสาทกล่าว
นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
เห็นด้วยกับการลดวิชาสอบโอเน็ตจาก 8 กลุ่มสาระฯ เหลือแค่ 5 วิชาหลัก
เด็กจะได้ไม่สอบหนักเกินไป
ส่วนประเด็นที่ให้โรงเรียนเป็นผู้ออกข้อสอบวิชาสังคมฯ ส่วนที่ 2
ที่เป็นการสอบภาคปฏิบัติในวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์
หน้าที่พลเมือง และศาสนา
วัฒนธรรมเนื่องจากเป็นวิชาที่ต้องใช้ทักษะการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบท
ของพื้นที่นั้น เป็นเรื่องดี แต่
สทศ.ต้องพูดคุยกับโรงเรียนในประเด็นความน่าเชื่อถือและมาตรฐานว่าควรมีเกณฑ์
กลางอย่างไรเพื่อให้โรงเรียนให้คะแนนอย่างยุติธรรม ถูกต้องและโปร่งใส
ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาโรงเรียนปล่อยคะแนนได้
"ส่วนที่หวั่นว่าอีก 3 กลุ่มสาระฯที่ไม่จัดสอบ เด็กอาจไม่สนใจเรียนนั้น
เป็นไปได้ที่ครูผู้สอนทั้ง 3 กลุ่มสาระฯจะมองได้ว่าทั้ง 3
กลุ่มสาระฯไม่สำคัญ หรือสำคัญน้อยหรืออย่างไรถึงไม่มีการสอบ ฉะนั้น
ผมมองว่าควรนำทั้ง 3 กลุ่มสาระฯแทรกอยู่ในวิชาสังคมฯ ส่วนที่ 2
ที่ให้โรงเรียนเป็นผู้ออกข้อสอบ เท่ากับว่าโรงเรียนจะเป็นผู้ออกข้อสอบ 3
วิชาครึ่ง ทั้งนี้ เห็นด้วยกับที่ให้นำ 3 กลุ่มสาระฯดังกล่าว
มาออกข้อสอบภาคปฏิบัติ ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ เก็บเป็นแฟ้มสะสมผลงาน
ดีเสียอีก เด็กจะได้ลงมือปฏิบัติ ไม่เน้นท่องจำ
ถ้าทำได้เชื่อว่าจะช่วยให้การปฏิรูปการศึกษาสำเร็จเร็วขึ้น
เนื่องจากองค์ประกอบแอดมิสชั่นส์มีผลโดยตรงต่อกิจกรรมการเรียนรู้ของนัก
เรียน" นายสมพงษ์กล่าว
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จะกระทบต่อเด็กอย่างแน่นอน
ซึ่งการเปลี่ยนใหญ่ควรต้องประกาศให้เด็กทราบล่วงหน้า 3 ปีเพื่อเตรียมตัว
และเชื่อว่าเด็กทราบเงื่อนไข
รายวิชาที่ต้องสอบและได้เตรียมตัวมาล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น
ถ้าต้องมาเปลี่ยนกะทันหัน จะเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้น เรื่องลดวิชาสอบโอเน็ต เป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรด่วนตัดสินใจ
ก่อนที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.จะนำเข้าหารือในที่ประชุมองค์กรหลักของ ศธ.
เพื่อพิจารณาเห็นชอบ
ควรต้องเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียนในเมืองและต่างจังหวัด
ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
ตลอดจนควรเชิญนักวิชาการ ผู้ปกครอง มาร่วมรับฟังชี้แจงนโยบายภาพรวมด้วย
ศธ.ควรรับฟังเสียงสะท้อนว่าเด็กและผู้ปกครองเห็นด้วยหรือไม่
ไม่เช่นนั้นอาจถูกต่อว่าได้ว่าเปลี่ยนนโยบายกะทันหัน
โดยไม่ฟังเสียงเด็กผู้ได้รับผลกระทบ
อีกทั้งเครื่องมือหรือข้อสอบที่โรงเรียนจะต้องเป็นผู้ออกนั้น
พร้อมแล้วหรือไม่ จึงควรให้เวลาโรงเรียนเตรียมตัวในการสร้างเครื่องมือด้วย
นายบัณฑิต พัดเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิต (ประถม) กล่าวว่า
โดยหลักการแล้ว ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะจะทำให้เด็กสอบน้อยลง
แต่ประเด็นกังวลคือ การนำคะแนนโอเน็ตไปใช้ในเรื่องต่างๆ
ทั้งการเข้าศึกษาต่อระดับชั้น ม.1, ม.4, สถาบันอุดมศึกษา
หรือการนำคะแนนไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาจบช่วงชั้น ซึ่งหากสอบแค่ 5
กลุ่มสาระฯหลัก ก็อาจทำให้เด็กไม่สนใจเรียนในกลุ่มสาระฯที่ไม่ได้สอบ คือ
กลุ่มสาระฯศิลปะ, กลุ่มสาระฯการงานอาชีพและเทคโนโลยี
และกลุ่มสาระฯสุขศึกษาและพลศึกษา
เพราะส่วนใหญ่เด็กจะมุ่งเรียนแต่วิชาที่ใช้สอบเท่านั้น
โดยเฉพาะวิชาที่ใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันการสอบแค่ 5 กลุ่มสาระฯ
จะไม่ครอบคลุมกับการนำไปใช้ด้วย ดังนั้น
จึงอยากให้พิจารณาในเรื่องดังกล่าวด้วย
แต่หากต่อไปจะสอบโอเน็ตแค่วัดความรู้พื้นฐาน โดยไม่นำไปใช้
ก็คงไม่เกิดผลกระทบอะไร
ส่วนที่จะให้โรงเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกข้อสอบกลุ่มสาระฯสังคมฯนั้น
โดยหลักการโรงเรียนจัดสอบเด็กอยู่แล้ว แต่หากเป็นการทดสอบระดับชาติ
ก็อาจจะต้องมีมาตรฐานที่ออกจากส่วนกลาง เพื่อให้การจัดสอบมีคุณภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานในเว็บไซต์พันทิป ได้มีสมาชิกใช้ชื่อว่า "ครูพี่เหยิน"
ออกมาตั้งกระทู้บอกเล่าเรื่องราวการทุจริตโอเน็ต ป.6
เมื่อผู้ใหญ่ของโรงเรียนเป็นผู้สนับสนุนให้เด็กโกงข้อสอบโอเน็ต
โดยเนื้อหาในกระทู้อ้างถึงคำพูดว่า "ผอ.ขอได้ไหมเด็กมันไม่ได้จริงๆ
ผู้ใหญ่เค้าขอมา..."
โดยเจ้าของกระทู้ระบุว่าแฟนซึ่งเป็นผู้หญิงรู้สึกกดดันเลยยอม
และพบว่ามีการบอกข้อสอบจริง
ทั้งระบุว่าสังเกตได้ว่ามีเด็กบางคนมีปัญหาอ่านหนังสือไม่ออก
ขณะเดียวกันหลังสอบเสร็จผู้ที่ไปสังเกตการณ์ ได้ไปสอบถามตัวเด็ก
ซึ่งเด็กยอมรับว่าครูบอก 2-3 ข้อ แต่ภายหลังการสอบเสร็จสิ้น
ไปถามอีกครั้งสรุปว่ามีการบอกทุกวิชาอย่างละนิดละหน่อย
โดยผู้ตั้งกระทู้ระบุว่าแฟนซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์
ได้เขียนบันทึกรายงานไปตามจริง
นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)
กล่าวว่า การสอบโอเน็ต ป.6 และ ม.3 ทั้งสองวันเป็นไปอย่างเรียบร้อย
ยังไม่มีรายงานการทุจริต ส่วนกรณีที่มีการตั้งกระทู้นั้น
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ซึ่งเป็นการตรวจสอบตามปกติที่ศูนย์สอบจะต้องรายงานมายัง สทศ. ทั้งนี้
เนื่องจากโอเน็ต ป.6 และ ม.3 มีเด็กสอบจำนวนมาก
สทศ.จึงขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)
ทำหน้าที่สังเกตการณ์การสอบทั่วประเทศ ซึ่ง
มรภ.แต่ละจังหวัดจะจัดส่งอาจารย์ นักศึกษาปริญญาโทและเอก
ไปประจำในแต่ละโรงเรียน ยกเว้นจังหวัดที่ไม่มี มรภ.ตั้งอยู่
ก็จะประสานมหาวิทยาลัยรัฐในพื้นที่
เป็นมาตรการเสริมเพื่อป้องปรามการทุจริตและดำเนินการมาต่อเนื่องถึง 3
ปีแล้ว
"ยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังไม่อยากพูดอะไรไปก่อน
เพราะจะกระทบกับครู ผู้บริหารโรงเรียนที่เขาตั้งใจทำดีก็จะหมดกำลังใจ
แต่หากมีการกระทำผิดและมีหลักฐานชี้ชัดเจน ก็ต้องเอาผิดแน่ ซึ่ง
สทศ.มีระเบียบชัดเจนว่าหากกรรมการคุมสอบทำผิด ต้องถูกดำเนินการตามวินัย
เพราะผิดจรรยาบรรณ และถ้าสร้างความเสียหายต่อ สทศ.ด้วย สทศ. ก็จะฟ้องร้อง"
นายสัมพันธ์กล่าว
นายศักดิ์ชัย บรรณสาร
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 2 กล่าวว่า
การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ระดับชั้น ป.6
และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของจังหวัดสระแก้ว ไม่มีปัญหา
มีเพียงเด็กขาดสอบ อาจมีสาเหตุมาจากอาการป่วย
หรือติดธุระจำเป็นไม่สามารถมาสอบได้ อย่างไรก็ดี เด็กที่ไม่มาสอบ
จะมีการสอบซ่อมทีหลัง และระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส ของ สพป.เขต 2
มีขาดสอบ 25 คน
"มีเด็กกลุ่มออทิสติกมาสอบเช่นกัน โดยใช้ข้อสอบเดียวกับนักเรียนปกติคนอื่นๆ
ซึ่งเห็นว่าเด็กกลุ่มนี้น่าจะแยกสอบต่างหาก
หรือใช้ข้อสอบที่เด็กเขามีความถนัด ใช้วิธีการทดสอบทางอื่นแทน
เพราะวิธีการประเมิน มีหลากหลายวิธี โดยเฉพาะกลุ่มเด็กออทิสติก
ควรแยกออกต่างหากไม่ควรนำมาสอบกับเด็กกลุ่มปกติ" นายศักดิ์ชัยกล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 |
โพสเมื่อ :
03 ก.พ. 58
อ่าน 1323 ครั้ง คำค้นหา :
|
|