![]() |
โดย วารินทร์ พรหมคุณ คลี่ยุทธศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ ความท้าทายภายใต้พลวัตของโลกศตวรรษที่ 21 ทันทีที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมีเป้าหมายหลักให้ประเทศไทยหลุดจากกับดักประเทศกำลังพัฒนาก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามอย่างประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์และมาเลเซีย ในมิติของ "การศึกษา" ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมียุทธศาสตร์การศึกษาชาติ อันเป็นกรอบการพัฒนาระยะยาว ที่สอดรับกับนโยบายของรัฐ ซึ่งแผนการศึกษาแห่งชาติ ที่มีสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ทำหน้าที่เป็นเสาหลัก นั้นได้วางกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของไทยไว้อย่างมีนัยสำคัญหลายประการ วันนี้ข่าวการศึกษา "สยามรัฐ" มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการ สกศ. เพื่อคลี่ยุทธศาสตร์การศึกษาของไทย ภายใต้ธรรมนูญการศึกษาฉบับใหม่ที่จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปีหน้า... โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญ คือเรื่องของการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซึ่ง ดร.กมล กล่าวว่า
ดร.กมล กล่าวต่อไปว่า นอกจากข้อมูลเด็กแล้ว ก็ยังมีเรื่องสำคัญคือ ข้อมูลครู
และตามที่ เลขาธิการ สกศ. กล่าวมานี้จะเห็นว่าธรรมนูญการศึกษาฉบับปี 2560 ยังเน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในสถานศึกษาไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะการจัดการปัญหาในเรื่องของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในระบบการศึกษาของไทย ซึ่ง ดร.กมล ได้พูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวว่า "...ประเด็นสำคัญคือทำอย่างไร เราจะบริหารสถานการศึกษาให้เป็นที่น่าเรียน มีคุณภาพสูง และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ตรงนี้ระบบสำคัญที่เราจะนำมาใช้ คือระบบการโซนนิ่งสถานศึกษาปัจจุบันนี้เรามีโรงเรียนประมาณ 30,000 โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กเกือบครึ่งหนึ่ง ก็คือหลัก 10,000 โรงเรียน ในอดีตถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมเ พราะว่าเราจำเป็นจะต้องตั้งโรงเรียนเพื่อให้เด็กๆ ในพื้นที่ต่างๆ ได้มีโอกาสเข้าสู่สถานศึกษา แต่วันนี้การคมนาคมไปมาง่ายขึ้น เด็กๆ ก็มีจำนวนน้อยลงเพราะการเกิดของประชากรมีน้อย เรามีโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมาก ส่งผลให้สูญเสียงบประมาณไป 20-30% ในเรื่องของการต้องดูแลโรงเรียนขนาดเล็กรวมทั้งต้องดูแลครูผู้บริหาร ที่ต้องอยู่ประจำโรงเรียนเหล่านี้ ...การทำให้มีโรงเรียนแม่เหล็ก ซึ่งเราเรียกว่า magnet school หรือโรงเรียนที่มีคุณภาพสูง เมื่อโรงเรียนขนาดเล็กรอบๆ ปิดตัวลง หรือเรียนแค่บางวัน ที่เหลือเด็กๆ เข้ามาเรียนโรงเรียนหลักที่มีการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพมากขึ้น ตรงนี้ ศธ.ได้มีการกำหนดให้เป็นโรงเรียนเกรด A-B-C นั่นก็คือโรงเรียนเกรด C คือโรงเรียนขนาดเล็กโรงเรียนที่มีผู้เรียนน้อย การสนับสนุนก็จะมีให้น้อยลง โดยพยายามดึงเด็กมาอยู่โรงเรียนเกรด B ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนประจำตำบล ประจำอำเภอแล้วในที่สุดก็มาพัฒนาเป็นโรงเรียนเกรด A คือโรงเรียนประจำจังหวัด หรือประจำอำเภอใหญ่ๆ ตรงนี้จุดเน้นสำคัญก็คือ เรื่องของคุณภาพทางการศึกษานั่นเอง ดร.กมล อธิบายต่อถึงประเด็นที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ก็คือ การมีกรรมการสถานศึกษาเข้าไปดูแล และมีกลุ่มประชาสังคม จะมีส่วนสนับสนุนเพื่อทำให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นเมื่อเราพูดเรื่องการบริหารการจัดการสถานศึกษา คงไม่ได้หมายความแต่เชิงบริหารอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการพัฒนาภูมิทัศน์ของโรงเรียน การดูแลเรื่องอาคารสถานที่ การทำให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ เพื่อนักเรียนจะได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ ชุมชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนในการใช้บริการสถานศึกษาด้วย อีกประเด็นที่กำลังตื่นตัวกันอย่างมาก คือเรื่องของการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนของตนเองขึ้นมา โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด หรือ กศจ. ซึ่งการกระจายอำนาจเพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารสถานศึกษา เป็นเรื่องที่ต้องถือว่าสำคัญมากเพราะการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เราจะเริ่มที่โรงเรียน ฉะนั้นโรงเรียนในอนาคตจะมีรูปแบบที่หลากหลายไม่ได้เป็นโรงเรียนที่สอนเฉพาะวิชาสามัญอย่างเดียว แต่อาจจะสอนวิชาสามัญควบคู่กับวิชาชีพในสายอาชีวศึกษา หรือเป็นโรงเรียนสามัญซึ่งมีลักษณะพิเศษ เช่น โรงเรียนดนตรี โรงเรียนกีฬา โรงเรียนที่เน้นด้านศิลปะ เราอาจจะเห็นโรงเรียนที่เปิดสอนอิงลิชโปรแกรม หรือโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ โดยสรุปก็คือ โรงเรียนในอนาคตจะต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสถานศึกษา เราจะไม่ตัดเสื้อตัวเดียวให้คนใส่ทั้งประเทศ แต่จะมีการตัดเสื้อเป็นรายบุคคล ไม่ได้เป็นการตัดเสื้อโหล ตรงนี้ก็เพื่อจะตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น ความต้องการของเด็กๆ นวัตกรรมเหล่านี้มีหลากหลายและก็มีหลายโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ จากสถานศึกษาซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ที่เด็กสัมผัสโดยตรง หน่วยงานที่สูงขึ้นมาก็คือระดับเขตพื้นที่การศึกษา หรือระดับจังหวัด สูงขึ้นมาอีกก็คือระดับกระทรวง ในรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ เราพยายามกระจายอำนาจจากกระทรวงไปสู่สถานศึกษาให้มากที่สุด นั่นก็คือโครงสร้าง ศธ.จะมีขนาดเล็กลง มีการดำเนินงานเฉพาะเรื่องของการกำหนดนโยบาย และแผนการจัดสรรงบฯ ดูแลระบบบุคลากรโดยภาพรวม จากนั้นก็จะยกให้ระดับจังหวัดดูแล ซึ่งเป็นหน่วยงานตรงกลาง อยู่ระหว่าง ศธ.และสถานศึกษา "...วันนี้ ศธ.ได้จัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ขึ้นซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการจัดการแทนที่จะให้เขตพื้นที่การศึกษาดูแลโรงเรียน ให้อาชีวะดูแลอาชีวะ ให้มหาวิทยาลัยดูแลมหาวิทยาลัย ให้ กศน.ดูแล กศน. กระจัดกระจายกัน ก็จะมีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด เป็นผู้ดูแลเป็นหน่วยงานกลางในระดับจังหวัด ซึ่งเมื่อมีหน่วยงานกลางระดับจังหวัดแล้ว จะทำให้ทิศทางการพัฒนาเป็นรายจังหวัด คือจะมีการกำหนดแผน กำหนดเป้าหมาย มีการยกระดับคุณภาพการศึกษาของแต่ละจังหวัด รวมไปถึงจังหวัดไหนมีปัญหาเรื่องอะไร ก็จะมีการแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป จะส่งผลให้การจัดสรรงบฯ ทำได้ตรงกับการกำหนดทิศทางของแผนการจัดสรรบุคลากร หรือการเกลี่ยบุคลากรที่จะมาทำงานตรงกับความจำเป็นที่เกิดขึ้น..."ดร.กมล กล่าวชี้แจง นอกจากนี้ตามแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ยังได้พูดถึงการสร้างกระบวนการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมหรือประชารัฐ ซึ่ง ดร.กมล กล่าวว่า... "โครงการประชารัฐ เป็นโครงการกำหนดความร่วมมือ โดยขณะนี้รัฐบาลได้มีการทำ MOU ระหว่างสถานศึกษาของรัฐบาล เช่น การศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษากับภาคเอกชน คือ บริษัท หรือธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จที่จะเข้ามาช่วยพัฒนา ซึ่งในส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งยกระดับคุณภาพ ส่วนของอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา มุ่งผลิตกำลังคนเพื่อให้ตรงกับความต้องการของภาครัฐและตรงกับความต้องการ ของภาคเอกชน นั่นก็คือเมื่อเด็กจบไปแล้วสามารถที่จะไปทำงานได้ ทั้ง 2 ส่วน แต่ว่าในภาคประชาสังคมเอง เรารวมถึงองค์กรท้องถิ่นต่างๆ พ่อแม่ ผู้ปกครอง สมาคม ชมรมต่างๆ ที่อยากเห็นเราผลิตคนดีออกไปสู่สังคม ...ฉะนั้น ภาคประชาสังคม เองก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในมิติของการสนับสนุน เช่น องค์กรท้องถิ่น อาจสนับสนุนอุปกรณ์ สนับสนุนครูสำหรับมาช่วยเหลือสถานศึกษา หรือส่งเสริมให้เด็กมีความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถด้านศิลปวัฒนธรรม การเล่นดนตรีพื้นเมืองละครฟ้อนรำต่างๆ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ความรู้ในสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมประจำถิ่นของตนเอง เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เด็กจะต้องธำรงรักษาไว้ กระบวนการทั้งหมดจึงเป็นกระบวนการที่เป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม แต่ว่าประชารัฐก็จะเป็นโครงการพิเศษซึ่งกระทรวงได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นต้นแบบและนำไปสู่การขยายผลในอนาคตด้วย..." นี่คือภาพคร่าวๆ ของธรรมนูญการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในปี 25560 ซึ่งยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก...โดยสามารถติดตามได้ต่อในฉบับวันพรุ่งนี้ ขอบคุณที่มาจากสยามรัฐ วันที่ 7 พ.ย.2559 |
โพสเมื่อ : 08 พ.ย. 59 อ่าน 1510 ครั้ง คำค้นหา : |