สอศ.ชี้รับนศ.อาชีวะไม่เกิน30คนต่อห้อง
สอศ.ชี้รับนศ.อาชีวะไม่เกิน 30 คนต่อห้อง
เลขาธิการกอศเข้มรับนักศึกษาอาชีวะปี 57 เตรียมกำหนดจำนวนรับต่อห้องไม่เกิน 30 คนหวังแก้ปัญหาเด็กล้นในวิทยาลัยเทคนิค-วิทยาลัยอาชีวะ และกระจายเด็กไปเรียนในวิทยาลัยในสังกัดใกล้เคียง ชี้ที่ผ่านมาปล่อยรับตามใจจนเด็กล้นกระทบต่อคุณภาพผู้เรียน มั่นใจไม่กระทบนโยบายเพิ่มผู้เรียนอาชีวะ นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้วิทยาลัยในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) อยู่ระหว่างการรับสมัครนักเรียน นักศึกษาด้วยระบบโควตาเข้าเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ประจำปีการศึกษา 2557 เบื้องต้นได้รับแจ้งข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า หลายวิทยาลัยมีผู้มาสมัครเข้าเรียนระบบโควตาเต็มจำนวนที่รับแล้ว เช่น วิทยาลัยการอาชีพไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับนักเรียนเข้าเรียนด้วยระบบโควตาเต็มจำนวนที่รับได้ 200 คนแล้ว เป็นต้น ทั้งนี้ แนวโน้มในปีการศึกษา 2557 คาดว่าจะมีนักเรียน นักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกพื้นที่แน่นอนส่วนจะมากน้อยขึ้นอยู่สภาพพื้นที่ของวิทยาลัย และสาขาวิชา อาทิ สาขาเกษตร การเพิ่มผู้เรียนเป็นไปได้น้อย แต่ สอศ.วางแผนจะใช้วิธีการเพิ่มผู้เรียนที่ทำงานอยู่ให้เข้ามาเรียน ส่วนสาขาอื่นๆ จะเน้นผู้เรียนที่เพิ่งจบใหม่ สำหรับสาขาช่างเชื่อมที่มีความต้องการของตลาดแรงงานเยอะกลับมีคนสนใจเรียนกันน้อยทั้งที่สาขาวิชานี้เรียนจบออกไปประกอบอาชีพจะมีรายได้สูง ขณะที่สาขายอดนิยม ยังเป็นช่างยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ บัญชี ธุรกิจคอมพิวเตอร์ สำหรับการรับนักเรียน นักศึกษาอาชีวะปกตินั้น จะเปิดช่วงเดือนมี.ค.ภายหลังที่โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) รับนักเรียนเข้าเรียนต่อเสร็จแล้ว ซึ่งในปีการศึกษา 2557 สอศ.ตั้งเป้ารับนักเรียน นักศึกษา ระดับปวช.239,100 คนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 50,000 คน ระดับปวส. 143,000 คน เพิ่มขึ้น 30,000 คน โดยจะเน้นการกระจายโอกาสให้เด็กเข้าไปเรียนในวิทยาลัยที่อยู่รอบนอก หรือวิทยาลัยที่มีคนเข้าเรียนน้อย เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวในวิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยอาชีวศึกษาประจำจังหวัดที่จะมีเด็กแน่นและล้นมาก ดังนั้น ในปีนี้จะมีการกำหนดจำนวนรับไม่ให้เปิดรับแบบไม่อั้นแต่จะกำหนดนักเรียนต่อห้องไม่เกิน 30 คน จากเดิมนักเรียนต่อห้องอาจจะมากถึง 40 กว่าคน อย่างไรก็ตาม จำนวนรับทั้งหมดของวิทยาลัยจะให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการอาชีวศึกษาในระดับจังหวัดที่จะกำหนดจำนวนรับของแต่ละวิทยาลัยในจังหวัดนั้นๆ จะไม่เปิดรับแบบตามใจผู้เรียนเหมือนปีที่ผ่าน ๆ มาเพราะเมื่อเปิดเพิ่มและมีนักเรียนมาเรียนกันมากๆ ทำให้การเรียนการสอนไม่มีคุณภาพเพราะนักเรียนต่อห้องจะเยอะ ครูก็เหนื่อยตรงนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้น ปีนี้หากวิทยาลัยไหนล้นอาจจะต้องกระจายผู้เรียนไปยังวิทยาลัยรอบนอกหรืออาจจะต้องล็อกจำนวนรับเอาไว้ ซึ่งการจำกัดจำนวนผู้เรียนไม่ให้ล้นในวิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษาประจำจังหวัดคงไม่มีผลต่อนโยบายการเพิ่มผู้เรียนสายอาชีวะเนื่องจากนโยบายนี้ไม่ได้เน้นว่าจะต้องมาเรียนที่ สอศ.เพียงอย่างเดียวแต่สามารถไปเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน และของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)ก็ได้จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร ด้านนพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(องค์การมหาชน) หรือสรพ. (ประธานบอร์ดสรพ.) กล่าวถึงการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาล ว่า การพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาล ต้องเน้นสมดุลทั้งด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ และด้านจิตใจ ทั้งนี้ปัจจุบันกระบวนการรักษาพยาบาลในปัจจุบันให้น้ำหนักกับการใช้วิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นหลัก จนให้ความสำคัญด้านจิตของคนไข้น้อยลง มองในส่วนขององค์ความรู้ของผู้รักษาเป็นฐาน การใส่ใจความรู้สึกของผู้ป่วยน้อยลง ทั้งๆ ที่ตอนเรียนทุกคนรู้ว่าต้องมีความสมดุล 2 ฝ่าย แต่ระบบต่างๆ เอื้อให้ดำเนินไปในทิศทางของการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในการรักษามากกว่า ประธานบอร์ดสรพ. กล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักในเรื่องของการให้ความสำคัญกับการ ดูแลจิตใจหรือความรู้สึกของคนไข้ให้มากขึ้น โดยสรพ.มีการดำเนินโครงการ สร้างเสริมมิติจิตปัญญาสู่ระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน(Spiritual Health care Appreciation) หรือ SHA ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาลด้านมิติจิตใจ ดูแลด้วยความรัก เข้าใจถึงจิตวิญญาณที่ละเอียดอ่อนของผู้ป่วยแต่ละคนในการดูแลคนไข้ระบบบริการสาธารณสุข ปัจจุบันมีโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่ผ่านการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลกว่า 500 แห่งจากทั้งหมด 1,300 แห่ง หรือคิดเป็น 46 %เข้าร่วมเสริมสร้างมิติด้านจิตใจด้วยความสมัครใจและจะขยายผลอีกปีละ 100 แห่ง โดยดำเนินการผ่านรูปแบบต่างๆ อาทิ จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กันและกัน และจัดเครือข่ายบริการสุขภาพ เป็นต้น ส่งผลให้บุคคลการเข้าใจตัวเองเข้าใจเพื่อนร่วมงาน และเข้าใจจิตใจความรู้สึกของผู้ป่วย หากโรงพยาบาลต่างๆ ให้ความสำคัญต่อการดูแลคนไข้ด้วยมิติด้านจิต น่าจะเป็นปัจจัยหลักสร้างความเข้าใจ ความพึงพอใจ ศรัทธา ความไว้วางใจ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างบุคคลการทางการแพทย์กับผู้ป่วย ทำให้คนไข้เข้าใจการทำงานที่แท้จริงของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ว่าอยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างไร ขณะเดียวกันพยายามดูแลผู้ป่วยอย่างไร จะเป็นส่วนเกื้อกันระหว่างคนไข้และผู้ให้บริการการรักษา จะทำให้คุณภาพของการรักษาพยาบาล ความพึงพอใจของคนไข้ ความเข้าใจของคนไข้และญาติที่มีต่อผู้ให้บริการดีขึ้น นพ.ศุภชัยกล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ |
|
โพสเมื่อ :
03 ม.ค. 57
อ่าน 1514 ครั้ง คำค้นหา :
|
| |