คลิกอ่าน "ร่างรัฐธรรมนูญ 2558" ก่อนเปิดให้สปช.อภิปราย 20-26 เม.ย. ได้ที่นี่
เปิด
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 315 มาตรา เพิ่มสมัชชาคุณธรรม-พลเมือง องค์กรตรวจสอบภาค
ปชช. ให้อำนาจศาล รธน.ชี้ขาดล้มล้าง ปชต.ได้ ห้ามถอนสัญชาติ
ห้ามผู้นั่งการเมืองถือหุ้นสื่อ ห้ามรัฐอุดหนุนสื่อเอกชน
ปชช.มีสิทธิ์ต่อต้านสันติวิธี ใช้ระบบโหวต ส.ส.ใหม่ ส.ว.มีทั้งเลือกทั้งคัด
เปิดช่องนายกฯ คนนอก ให้สิทธิ์เสนอ กม.ได้ 1 ฉบับ รมต.ต้องลาออก ส.ส. ให้
กก.แต่งตั้ง ขรก.โยกย้ายปลัด ให้ อสส.แสดงเหตุผลฟ้อง-ไม่ฟ้อง
เพิ่มคณบดีนิติ-รัฐ ตัวแทนพรรค รัฐบาล และสมัชชาคุณธรรม สรรหาตุลาการศาล
รธน. ถอดถอนต้องเป็นมติรัฐสภา ให้หยุดงานเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูล ตั้ง
กจต.จัดเลือกตั้ง บังคับรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูป ควบรวมผู้ตรวจฯ-กสม.
และสุดท้ายนิรโทษกรรม คสช.
วันนี้ (16 เม.ย.) ที่บริเวณชั้น 2 หน้าห้องประชุมใหญ่ อาคารรัฐสภา 1
เมื่อเวลา 12.00 น. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
(สปช.)
ได้ทำพิธีมอบร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำแล้ว
เสร็จให้แก่สมาชิก โดยร่างดังกล่าวจัดทำเป็นรูปเล่ม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ประกอบด้วย เจตนารมณ์ในการร่างรัฐธรรมนูญและรายชื่อคณะผู้จัดทำ
รวมทั้งกระบวนการพิจารณาที่เน้น 4 ทิศทางคือ สร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่
การเมืองใสสะอาดและสมดุล หนุนสังคมที่เป็นธรรมและนำชาติสู่สันติสุข ส่วนที่
2 คือ ตัวร่างรัฐธรรมนูญที่มีทั้งหมด 315 มาตรา ประกอบด้วย บททั่วไป 7
มาตรา
ภาค 1 พระมหากษัตริย์ และประชาชน : หมวด 1 พระมหากษัตริย์ มาตรา 8-25 หมวด 2
ประชาชน ส่วนที่ 1 ความเป็นพลเมืองและหน้าที่พลเมือง มาตรา 26-28
ซึ่งมีการเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาด้วยการกำหนดให้มีสมัชชาคุณธรรม
แห่งชาติ สมัชชาพลเมือง องค์กรตรวจสอบภาคประชาชน ส่วนที่ 2
สิทธิเสรีภาพของบุคคล ตอนที่ 1 บททั่วไป มาตรา 29-33
โดยยังคงบทบัญญัติที่ให้สิทธิเสรีภาพประชาชนพิทักษ์รัฐธรรมนูญด้วยการร้อง
ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่พบว่ามีการกระทำที่อาจก่อให้เกิดการ
ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐ
ธรรมนูญ
หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถี
ทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งให้เลิกกระทำดังกล่าวและสั่งการอื่นได้
โดยไม่กระทบกระเทือนต่อคดีอาญาซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2550
ที่ไม่ระบุชัดเจนเกี่ยวกับอำนาศาลรัฐธรรมนูญในการสั่งระงับยับยั้งหรือสั่ง
การอื่น
ตอนที่ 2 สิทธิมนุษยชน มาตรา 34-45 ตอนที่ 3 สิทธิพลเมือง มาตรา 46-64
ซึ่งมีบทบัญญัติที่น่าสนใจ คือ
ห้ามมิให้มีการถอนสัญชาติไทยจากบุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
และกำหนดห้ามไม่ให้มีการครอบงำหรือผูกขาดการนำเสนข้อมูลข่าวสาร
รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในการ
กิจการสื่อมวลชนมิได้ และห้ามรัฐให้เงินหรือทรัพย์สินอื่น
หรือสิทธิประโยชน์เพื่ออุดหนุนกิจการสื่อมวลชนของเอกชน
ส่วนที่ 3 การมีส่วนร่วมทางการเมือง มาตรา 65-68
ซึ่งมีการกำหนดเพิ่มเติมให้พลเมืองมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี
ซึ่งการกระทำใดที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ
โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ส่วนที่4
การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมาตรา 69-72
ซึ่งเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านสภาตรวจสอบภาคพลเมืองในแต่ละจังหวัด
ภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบการเมืองที่ดี : หมวด 1
ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี มาตรา 73-77
ซึ่งมีการเพิ่มสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติเข้ามาทำหน้าที่ดูแลด้านจริยธรรมเพื่อ
ส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งนำใบประกาศวันเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชน
ถอดถอนออกจากตำแหน่งทางการเมืองโดยผู้ที่ถูกถอดถอนจะถูกตัดสิทธิ์ทางการ
เมืองเป็นเวลา5 ปีนับจากวันลงคะแนนเสียง
หมวด 2 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 78-95 หมวด 3 รัฐสภา ส่วนที่ 1
บททั่วไป มาตรา 96-102 ส่วนที่ 2 สภาผู้แทนราษฎร มาตรา 103-120
ซึ่งเป็นส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้ง
และการคำนวณเกณฑ์จำนวนประชากรต่อ ส.ส.ใหม่
รวมทั้งให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกเพื่อจัดลำดับบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับ
เลือกตั้งที่พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองจัดทำขึ้นได้
ส่วนที่ 3 วุฒิสภา มาตรา 121-130
เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ถูกทักท้วงโดยเฉพาะการกำหนดให้ที่มา ส.ว.มาจากการสรรหา
แม้ว่ากรรมาธิการจะมีการเพิ่มเติมให้เป็นการผสมผสานโดยให้มาจากการเลือกตั้ง
ในแต่ละจังหวัดๆ ละ 1 คน รวมทั้งหมด 200 คนแล้วก็ตาม ส่วนที่ 4
บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง มาตรา 131-144
ซึ่งมีการบัญญัติเกี่ยวกับเอกสิทธิ์ของ ส.ส. และ ส.ว. ที่ทำผิดเพิ่มเติมว่า
หากเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับ
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาถึง ส.ว.
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ
พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองสามารถให้มีการพิจารณาคดีระหว่าง
สมัยประชุมได้
แต่ต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา
ส่วนที่ 5 การประชุมร่วมกันของ ส.ส.กับ ส.ว. มาตรา 145-146 ส่วนที่ 6
การตรา พ.ร.บ. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 147-162
โดยมีส่วนที่เพิ่มเติม คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง
พ.ร.บ.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน
พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี พ.ร.บ.ว่าด้วยการคลังและการงบประมาณภาครัฐ
และพ.ร.บ.ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ส่วนที่ 7
การควบคุมการตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 163-164 ส่วนที่ 8
การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 165-170 หมวด 4 คณะรัฐมนตรี มาตรา
171-198
ซึ่งเป็นอีกส่วนที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากเปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีมา
จากคนนอกได้โดยใช้เสียง 2 ใน 3 ขณะเดียวกัน
ผู้ที่จะไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากการเป็น
ส.ส.และและให้สิทธินายกฯ เสนอร่าง พ.ร.บ.ได้ 1 ฉบับต่อสมัยประชุม
หากไม่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจภายใน 48 ชั่วโมงให้ถือว่าร่าง
พ.ร.บ.นั้นนับแต่วันที่มีการแถลงเพื่อเสนอร่าง
พ.ร.บ.เข้าสู่สภาให้ถือว่าผ่านการพิจารณาและให้ความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ
แล้ว
หมวด 5 การคลังและการงบประมาณ มีการเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยามคำว่า
“เงินแผ่นดิน”
ให้หมายรวมถึงเงินกู้และให้อำนาจผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินโดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ ป.ป.ช.
ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนกรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินที่สร้างความเสียหายแก่รัฐ
ยื่นฟ้องศาลปกครองแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณได้ หมวด 6
ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการ นักการเมือง และประชาชน มาตรา 206-210
มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารโดยกำหนดให้มีคณะกรรมการดำเนินการแต่ง
ตั้งข้าราชการ โดยระบบคุณธรรมมีหน้าที่พิจารณาการย้ายโอน หรือ
เลื่อนข้าราชการระดับปลัดกระทรวงต่อ นายกฯ
ซึ่งจากเดิมอำนาจดังกล่าวเป็นของนายกฯ หมวด 7
การกระจายอำนาจและการบริหารท้องถิ่น มาตรา 211-216
ภาค 3 หลักนิติธรรม ศาล
และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ : หมวด 1 ศาลและกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ 1
บททั่วไป มาตรา 217-228
ซึ่งมีการเพิ่มอำนาจให้พนักงานอัยการร่วมเป็นพนักงานสอบสวนในคดีอาญาสำคัญ
อีกทั้งกำหนดให้การใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับคำสั่งฟ้อง ไม่ฟ้อง ถอนฟ้อง
อุทธรณ์ฎีกา หรือไม่ อุทธรณ์ฎีกา หรือถอนอุทธรณ์ฎีกาของอัยการสูงสุด
ต้องแสดงเหตุผลประกอบคำสั่งให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงข้อมูลและหากเป็น
เรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะต้องให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ด้วย
ส่วนที่ 2
ศาลรัฐธรรมนูญมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาตุลาการใหม่
โดยเพิ่มจากคณบดีนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษา
และสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ รวมถึงตัวแทนจากพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง
ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ฝ่ายละ1 คน ส่วนที่ 3 ศาลยุติธรรมมาตรา 238-241
มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่คดีจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ
ป.ป.ช. จากเดิมให้ ป.ป.ช.
ส่งฟ้องศาลฏีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มาเป็นส่งให้ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลคดีชำนัญพิเศษ
มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดี ส่วนที่ 4 ศาลปกครองมาตรา 242-244
มีการเพิ่มแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ ส่วนที่5 ศาลทหารมาตรา 245
หมวด 2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 1 บททั่วไป มาตรา 246-247
มีการเพิ่มต้องแสดงรายการภาษีเงินได้ต่อ ป.ป.ช.ด้วย ส่วนที่ 2
การกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์มาตรา 248-252 ส่วนที่ 3
การถอดถอนจากตำแหน่งและการตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือสิทธิในการดำรงตำแหน่ง
อื่น มาตรา 253-255
โดยมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การถอดถอนจากเดิมให้เป็นมติของ
ส.ว.มาเป็นมติของรัฐสภา โดยผู้ที่ถูก
ป.ป.ช.ชี้มูลจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่ารัฐสภาจะมีมติ
ส่วนที่ 4 มาตรา 256-258
คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีการบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคล
อื่นที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน รวมทั้งผู้ให้ ขอให้
หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการ
เมืองรวมอยู่ด้วย ส่วนที่5 องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตอนที่ 1 คณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา
259-269 ซึ่งมีการตัดอำนาจของ กกต. ไม่ให้เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง
โดยให้มีคณะกรรมกรรดำเนินการจัดการเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นหัวหน้าราชการในแต่ละภาคส่วนมาทำหน้าที่แทน ตอนที่ 2
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน มาตรา 270 ตอนที่ 3
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 271-274
เพิ่มอำนาจให้
ป.ป.ช.ฟ้องคดีที่เกี่ยวกับวินัยการคลังและงบประมาณต่อศาลปกครองได้ ตอนที่ 4
ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิมนุษยชน มาตรา 275-276
ซึ่งเป็นการควบรวมผู้ตรวจการแผ่นดินกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเข้าด้วยกัน
ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง : หมวด 1 บททั่วไปมาตรา 277-278
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญบังคับให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หน่วยงานรัฐ
และพลเมือง ต้องปฏิบัติตามการปฏิรูปและการสร้างความปรองดองตามบทบัญญัตินี้
โดยมีวาระ 5 ปี หมวด 2 การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม
ส่วนที่ 1
สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ
มาตรา 279-280 ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่กมธงยกร่างฯ
อ้างว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อสานต่อเจตนารมณ์การปฏิรูปให้เกิดความต่อเนื่อง
ส่วนที่2 การปฏิรูปด้านต่างๆ มาตรา 281-296 ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปสื่อด้วย
หมวด 3 การปรองดอง
กำหนดให้มีคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติมีอำนาจในการตรา
พ.ร.ฎ.อภัยโทษแก่บุคคลที่ให้ความจริงและสำนึกผิดต่อคณะกรรมการได้ โดย ครม.
รัฐสภา และหน่วยงานของรัฐ
ต้องให้ความร่วมมือรวมทั้งจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอด้วย
บทสุดท้ายการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 299-303 มีการบัญญัติให้การแก้ไขทำได้ยากขึ้น
ส่วนที่ 3 บทเฉพาะกาลมาตรา 304-315 โดยในมาตรา 315
มีการบัญญัติเพื่อนิรโทษกรรมให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ในการทำรัฐประหาร โดยระบุไว้ว่าบรรดาการใดๆ
ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว 2557
ว่าเป็นการกระทำที่ขัดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวข้องกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศรัฐ
ธรรมนูญนี้ให้ถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และให้ ครม.และ
คสช.ให้พ้นจากตำแหน่งหลังรัฐธรรมนูญมีการประกาศใช้แต่ให้
ครม.บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าจะได้ ครม.ใหม่เข้ามาทำหน้าที่
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2558
|
โพสเมื่อ :
18 เม.ย. 58
อ่าน 1582 ครั้ง คำค้นหา :
|
|