ลดขั้นเงินเดือนครูสวนกุหลาบ “ตุ๋ยเด็ก”

นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด กรุงเทพมหานคร (ศธจ.กทม.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาโทษทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) กทม.1 และ สพม.กทม.2 โดยได้ลงโทษทางวินัยร้ายแรงด้วยการไล่ออกจากราชการ จำนวน 3 ราย รายแรกเป็น ผอ.โรงเรียนในสังกัด สพม.กทม.1 ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด กรณีทุจริตและไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการ โดยนำเงินที่เรียกเก็บจากร้านค้าไปใช้ส่วนตัวและไม่นำเงินเข้าบัญชีโรงเรียน ส่วนอีกสองรายเป็นข้าราชการครูรายแรกนำคอมพิวเตอร์พกพาของโรงเรียนไปจำนำ และรายที่สองขาดราชการ 2 ปี แต่กรณีขาดราชการนั้นให้ไล่ออกไว้ก่อน แต่ให้โอกาสเข้ามาชี้แจงเหตุผลเพราะขณะนี้ยังตามตัวไม่เจอ

ปลัด ศธ.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาโทษข้าราชการครูโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ที่ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมตุ๋ยเด็กนักเรียน ซึ่งมีมติลงโทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น ส่วนที่ไม่ได้ลงโทษวินัยร้ายแรง เนื่องจากการสอบสวนพบว่าครูคนดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 เป็นการแชร์รูปบุคคลอื่นโดยอ้างว่าเป็นนักเรียน ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ทั้งที่ความจริงไม่ใช่นักเรียน จากนี้จะส่งชื่อครูคนดังกล่าวไปที่คุรุสภาเพื่อพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครูหรือไม่ หากมีมติว่าผิดครูจะถูกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันที ซึ่งจะไม่มีสิทธิ์กลับมาสอนหรือเป็นครูได้อีก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เกิดเรื่องได้มีการย้ายครูคนดังกล่าวมาประจำที่ สพม.กทม.เขต 1 แล้ว โดยทำหน้าที่ธุรการไม่เกี่ยวข้องกับการสอนนักเรียน

ด้าน ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ผลการสืบสวนข้อเท็จจริงของคุรุสภา พบว่ากรณีดังกล่าวมีมูลความผิดร้ายแรง เนื่องจากพิจารณาว่าเป็นพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณ แม้จะไม่ใช่กับเด็กนักเรียนก็ตาม ซึ่งโทษมีอยู่ 2 แนวทางคือ การพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ในกรณีการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูคนดังกล่าวจะไม่สามารถสอนเด็กได้อีก แต่อาจให้ไปทำหน้าที่อื่นหรือจะให้ออกก็เป็นดุลพินิจผู้บังคับบัญชา แต่เรื่องนี้ขณะนี้ยังไม่มีคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) จึงยังพิจารณาเรื่องดังกล่าวไม่ได้.

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ