คอลัมน์ สามัญสำนึก โดย สมปอง แจ่มเกาะ
หลังจากรัฐบาล "ประยุทธ์ 1" ถือฤกษ์ดีวันที่ 9 เดือน 9
ด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก จากนั้น 12
กันยายนก็จะแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
จากนี้ไปจึงเป็นช่วงเวลาของการลงมือทำงานเพื่อสะสางปัญหาของบ้านเมือง
ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ค่าครองชีพปากท้อง พืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ฯลฯ
ได้เอาแต่ใจช่วยและภาวนาขอให้ประสบความสำเร็จ บ้านนี้เมืองนี้จะได้อยู่เย็นเป็นสุขกันเสียที
เย็นย่ำค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างนั่งชมรายการ "เดินหน้าประเทศไทย"
ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ได้มีโอกาสนั่งล้อมวงสนทนากับเพื่อนพ้องน้องพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
กลุ่มเล็ก ๆ 4-5 คน นอกจากถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบ
ตามประสาคนสนิทชิดเชื้อคุ้นเคย คุยกันสารพัดเรื่อง
เป็นการคุยอย่างออกรสออกชาติ สนุกสนาน ได้แง่คิดมุมมองอย่างมีสาระ
แต่เรื่องที่ได้รับความสนใจและวิพากษ์วิจารณ์กันมากในวันนั้นกลับเป็นหัวข้อ
การสนทนาของคุณครูเอ (นามสมมุติ) จากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
มีประวัติมาอย่างยาวนาน และใคร ๆ
ก็อยากจะให้ลูกหลานได้เข้าเรียนศึกษาหาความรู้
คุณครูเอบอกว่า "...ช่วงนี้งานที่โรงเรียนค่อนข้างยุ่ง เพราะต้องมีการประชุมอยู่บ่อย ๆ"
พร้อมขยายความต่อว่า "ตอนนี้ โรงเรียนได้ตั้งกรรมการให้เข้ามารับผิดชอบเรื่องการตามทวง (หนี้) ค่าเทอม"
ด้วยความสงสัย ทุกคนถามสวนขึ้นทันทีว่า ทำไมต้อง "ทวง (หนี้) ค่าเทอม" ?
ในความหมายคือ ในเมื่อผู้ปกครองเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ล้วนเป็นคนมีฐานะ
นักธุรกิจ เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ค่าเทอมเพียง 4-5 หมื่นบาท
ผู้ปกครองน่าจะมีเงินจ่ายและไม่น่าเป็นไปได้ที่จะค้างค่าเทอม
"จริง ๆ" คุณครูเอตอบ และให้ข้อมูลว่า "เบ็ดเสร็จเป็นเงินรวมนับ 10 ล้าน (บาท) ตอนนี้ต้องหาทนายความมาให้คำปรึกษาด้วย"
ยิ่งอึ้งกันใหญ่ครับ
จากนั้นคุณครูก็สาธยายให้ฟังสั้น ๆ ว่า "...นี่ไม่ใช่เพิ่งเป็นปัญหา
เรื่องนี้เกิดมาระยะหนึ่งแล้ว บางคนขับรถเบนซ์ป้ายแดงมาส่งมารับ แต่หลบ ๆ
เลี่ยง ๆ ไม่ยอมจ่าย
ที่ผ่านมาโรงเรียนใช้วิธีส่งจดหมายฝากนักเรียนไปให้พ่อแม่
เด็กบางคนก็แอบเปิดจดหมายอ่าน แล้วก็ไปบอกผู้ปกครอง
แต่ผู้ปกครองกลับมาต่อว่าครูหรือโรงเรียนว่า ทำไมไปทวงค่าเทอมผ่านเด็ก
กลายเป็นความผิดของครูและโรงเรียน"
"มีบางคนที่หัวหมอ ลูกจบ ม.6 ไปแล้ว โรงเรียนไม่ออกใบเกรดให้ เขาก็ไปขอคัดผลการเรียนจากกระทรวงฯ"
"โรงเรียนไม่ต้องการอะไรมาก เพียงแค่อยากจะเชิญผู้ปกครองมาคุย
มาเจรจาเพื่อหาทางออก จะผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ก็ไม่ว่า
เงินที่ได้มาโรงเรียนก็นำมาใช้เพื่อการเรียนการสอน
ผลประโยชน์ทั้งหลายทั้งปวงก็จะตกกับนักเรียนทุกคน"
ระหว่างฟัง ในใจก็คิดย้อนกลับไปสมัยเป็นเด็กนักเรียนมัธยมฯ ที่ต่างจังหวัด
สมัยนั้นเงินทองหายาก ผู้ปกครองหลายคนอยากจะส่งลูกให้เรียนสูง ๆ
แต่ไม่มีเงิน ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายเป็นค่าเทอม
บางคนเงินไม่พอก็ต้องบากหน้าเข้าไปหาครูเพื่อขอผ่อนผันด้วยวิธีการต่าง ๆ
เพื่อให้ลูกได้เรียน
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนหลายคนที่ต้องดิ้นรนช่วยพ่อแม่อีกทาง
ด้วยการทำงานรับจ้างในช่วงปิดเทอม บางคนต้องไปถึงชลบุรี
บางคนเข้ามากรุงเทพฯ
เพื่อหาเงินเป็นค่าเล่าเรียนต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ
แต่นี่มีเงินมีทอง มีหน้ามีตาในสังคม มีโรงเรียนดี ๆ ให้ลูกเรียน
กลับไม่ยอมจ่ายค่าเทอมเสียนี่
จนถึงวันนี้ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และไม่เข้าใจว่า ทำมั้ย ทำไม
ผู้ปกครองเหล่านี้เขาจึงเบี้ยว ไม่ยอมจ่ายค่าเทอมดังกล่าว
และยังสงสัยต่อไปอีกว่า เมื่อเด็ก ๆ เหล่านี้เขาจบการศึกษาไป
เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจหรือไม่ หากรู้ว่าพ่อแม่ไม่จ่ายค่าเทอมให้โรงเรียน
นี่อาจจะเป็นเพียงโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เกิดปัญหาขึ้น โรงเรียนชื่อดังอื่น ๆ ก็ไม่ควรประมาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ 11 ก.ย. 2557