'อาชีวะอุบลฯ' แชมป์แกะสลักหิมะน้ำแข็งนานาชาติ นำแนวพระราชดำริเผยแพร่

วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี คว้า Top Grade Awards การแข่งขันการแกะสลักหิมะน้ำแข็งนานาชาติ ปี 60 ที่ประเทศจีน ภายใต้แนวคิด 'น้ำ ปลา นา ข้าว' เผย ตั้งใจนำแนวเศรษฐกิจพอเพียงของ ร.9 ไปเผยแพร่ผ่านงานวิจิตรศิลป์ ...

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 8 ม.ค.2560 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นางเจิดฤดี ชินเวโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พร้อมคณะนักเรียนอาชีวะศึกษาทั้ง 12 คนที่เดินทางเข้าร่วมการแข่งขันการแกะสลักหิมะน้ำแข็งนานาชาติ ประจำปี 2560 The 9th International Collegiate Snow Sculpture Contest 2017 ที่เมืองฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางถึงไทย โดยคว้ารางวัลรวมจาการแข่งขันมาได้ถึง 5 รางวัล ประกอบด้วย ทีมของวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี คว้ารางวัล Top Grade Awards ซึ่งเป็นคะแนนรวมสูงสุดของการแข่งขันในครั้งนี้ จากผลงาน "น้ำ ปลา นา ข้าว" หรือสำนวนที่ว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว ส่วนทีมของวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ได้รับรางวัลอันดับที่ 2 ในชื่อผลงาน เศรษฐกิจ (Sufficiency Economy) และ ทีมของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา ได้มาถึง 3 รางวัล คือ รางวัลอันดับที่3, รางวัลBest Skill และรางวัล Popular Vote ในชื่อผลงาน หัวใจประเทศไทย (The Heart of Thailand)

 

สำหรับการแข่งขันการแกะสลักหิมะน้ำแข็งนานาชาติในปีนี้ มีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 57 ทีมจาก 13 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย ไต้หวัน จีน ฮ่องกง เบลเยียม รัสเซีย ฝรั่งเศส เกาหลี ยูเครน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษและมองโกเลีย

นายอภิสิทธิ ศรไชย อายุ 17 ปี นักศึกษาชั้น ปวช.2 สาขาวิจิตศิลป์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ในฐานะหัวหน้าทีม กล่าวว่า ทีมเข้าแข่งขั้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลก็ขอเก็บเป็นประสบการณ์ แต่เมื่อได้รับรางวัลรู้สึกภาคภูมิใจมาก เพราะตั้งใจนำแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปเผยแพร่ผ่านงานวิจิตรศิลป์ ที่พวกตนได้เรียนมา ส่วนอุปสรรคในการแข่งขันครั้งนี้ เป็นเรื่องของอากาศที่หนาวเย็นติดลบ จนร่างกายไม่ค่อยไหว แต่ในส่วนของการแกะสลักชิ้นงานไม่มีปัญหา เพราะพวกตนแกะสลักต้นเทียน ซึ่งเป็นงานวิจิตศิลป์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอยู่แล้ว อีกทั้งได้ฝึกซ้อมฝีมือจากทรายผสมปูนปลาสเตอร์ด้วย จึงทำให้มีความคุ้นชินในการแกะสลักชิ้นงาน.

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ