งานวิจัยชี้ไม่ควรเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา



วันนี้(11ธ. ค.)ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงเรื่องที่คณะรัฐมนตรี (ครม. )มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องแนวทางแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา โดยไปประสานกับกระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาจัดทำเป็นรายละเอียดปฏิบัติ เพื่อดำเนินการและให้เสนอเข้า ครม.อีกครั้งภายใน 30 วันนั้น ว่า ที่ผ่านมาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาไว้แล้ว ซึ่งผลการศึกษาระบุว่า ธุรกิจการกวดวิชาในปี 2553 มีมูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้านบาท และมีการขยายตัวสู่ภูมิภาคมากขึ้น ตลาดการกวดวิชามีลักษณะดำเนินการในรูปของธุรกิจมากขึ้น กำไรจากการดำเนินธุรกิจสำหรับกิจการเจ้าของคนเดียวอยู่ระหว่างร้อยละ 12-19 ส่วนธุรกิจที่มีขนาดใหญ่จำมีอัตรากำไรสูงถึงร้อยละ 40-50 โดยค่าเรียนกวดวิชาเฉลี่ยต่อหลักสูตรจะอยู่ที่ 3,000-5,500 บาท ซึ่งใน 1 ปี นักเรียนจะกวดวิชาเฉลี่ยคนละ 5 หลักสูตร แต่เมื่อพิจารณาลักษณะของนักเรียนที่เรียนกวดวิชา พบว่า นักเรียนที่เรียนดีมักมีแนวโน้มเรียนพิเศษมากกว่านักเรียนที่มีฐานะดี มีการใช้จ่ายกวดวิชามากกว่านักเรียนที่จนที่สุดถึง 2.7 เท่า และจากการศึกษาดังกล่าวยังได้วิเคราะห์ถึงผลของการจัดเก็บภาษีว่า หากเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาเพิ่มขึ้น จะมีผลให้ความต้องการเรียนกวดวิชาลดลงทุกระดับชั้น แต่ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะตอบสนองต่อราคามากกว่าช่วงชั้นอื่นถ้ามีการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลให้ค่าเรียนกวดวิชาสูงขึ้น และภาระภาษีที่ตกกับนักเรียน


“ โดยสรุปแล้วจากการศึกษาได้มีข้อเสนอว่า ไม่ควรเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากโรงเรียนกวดวิชา เนื่องจากประเมินโดยรวมแล้ว น่าจะมีผลเสียมากกว่าผลได้เพราะรายได้จากภาษีจะมีมูลค่าไม่มากนัก แต่ผลเสีย คือ ราคาค่าบริการจะสูงขึ้น และภาระภาษีจะไปตกที่นักเรียน อย่างไรก็ตามควรมีมาตรการกำกับดูแลเพดานค่าเล่าเรียนไม่ให้มีการค้ากำไรเกิน ควร และควรมีการกำกับ และตรวจสอบมาตรฐานของโรงเรียนกวดวิชา ที่สำคัญรัฐต้องมีบทบาทในการสร้างความเป็นธรรมด้านโอกาสในการเข้าถึงบริการ การศึกษาที่มีคุณภาพ ขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำให้แก่นักเรียนที่ด้อยโอกาส และยากจนด้วย ” ดร.สุทธศรี กล่าวและว่า ตนได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ไปหารือร่วมกับ สกศ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาผลวิจัยดังกล่าว และพิจารณาว่าจะมีแนวทางต่อยอดได้อย่างไรก่อนจัดทำรายละเอียดเตรียมนำเสนอ ครม.ต่อไป

 

ที่มา เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี 11 ธันวาคม 2557


โพสเมื่อ : 12 ธ.ค. 57   อ่าน 1680 ครั้ง      คำค้นหา :