ข้อเท็จจริง 10 ปี ระบบข้าราชการไทย



สถาบันอนาคตไทยศึกษาเปิดผลการศึกษาชิ้นล่าสุดเรื่อง “ข้อเท็จจริง 10 ปี ระบบข้าราชการไทย” ชี้กำลังคนเพิ่ม 50% ฐานเงินเดือนสูสีกับเอกชน งบบุคลากรโต 3 เท่า แต่ผลการจัดอันดับด้านประสิทธิภาพและความโปร่งใสกลับตกลง จากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

.....

เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการอนุมัติขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจเฉลี่ย 6.5%  ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมีการปรับเงินเดือนข้าราชการเพิ่มขึ้นคนละ อย่างน้อย 4% และขยายเพดานเงินเดือนอีก 10% ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดูสมเหตุสมผล  เพื่อให้เงินเดือนของข้าราชการสะท้อนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ไม่ได้มีการปรับฐานเงินเดือนมาตั้งแต่ปี 2554  และครั้งนี้จะเป็นการปรับครั้งที่ 6 ในรอบ 10 ปี


 


หากย้อนกลับไปดู 10 ปี ที่ผ่านมา จะพบว่าจำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน  ที่เพิ่มขึ้นมากคือลูกจ้างรัฐ และพนักงานรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 6 เท่า  บางกระทรวงมีลูกจ้างและพนักงานมากกว่าข้าราชการประจำ  ฐานเงินเดือนก็ไม่ต่ำอีกต่อไป จากที่ข้าราชการเคยได้รับเงินเดือนแรกเข้าเพียง 2 ใน 3 ของพนักงานเอกชนที่ระดับการศึกษาเท่ากัน


แต่ปัจจุบันข้าราชการได้เงินเดือนแรกเข้า สูงกว่าพนักงานเอกชนโดยเฉลี่ย ราว 10%  เพราะนโยบายปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการวุฒิปริญญาตรีให้ได้ 15,000 บาทต่อเดือน



 


งบบุคลากรภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จากเมื่อสิบปีก่อน ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากรรวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆ อย่างค่ารักษาพยาบาล และบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล  งบบุคลากรภาครัฐเมื่อเทียบกับจีดีพีของไทยอยู่ประมาณ 7%  สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%)


 


งบบุคลากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากอาจจะไม่ ได้ส่งผลให้ผลงานของภาครัฐใน 10 ปีที่ผ่านมาดีขึ้นเท่าที่ควร เพราะทั้งประสิทธิภาพและความโปร่งใสของภาครัฐแย่ลงจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากผลการวิจัยของธนาคารโลกพบว่า ความมีประสิทธิผลของรัฐบาลไทยอยู่อันดับ 74 จาก 196 ประเทศ  ตกลงจากอันดับ 65 เมื่อสิบปีก่อน  ปัญหาคอร์รัปชั่นในภาครัฐก็แย่ลงเช่นกัน  จากผลวิจัยของธนาคารโลกเช่นเดียวกัน พบว่าไทยตกจากอันดับ 91 เมื่อสิบปีก่อน มาเป็นอันดับ 98 จาก 196 ประเทศ  World Economic Forum สำรวจและจัดอันดับเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกของข้าราชการไทยอยู่อันดับ 93 จาก 148 ประเทศ อันดับใกล้เคียงกับประเทศอินเดีย (94) และมาลาวี (92)


 


ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวเสริมว่า “ทั้งหมดนี้ยิ่งเป็นการเน้นว่า การปฏิรูประบบราชการต้องเป็นวาระที่ควรทำเป็นอันดับแรก และต้องทำโดยเร่งด่วน เพราะการปฏิรูปด้านอื่นๆ จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยกลไกของรัฐแทบทั้งนั้น  ยิ่งตอนนี้ก็จะเป็นโอกาสที่ดี เพราะจะมีข้าราชการราว 40% จะเกษียณอายุในอีก 15 ปีข้างหน้า”

 

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


โพสเมื่อ : 02 ก.พ. 58   อ่าน 1487 ครั้ง      คำค้นหา :