พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมกระทรวงศึกษาธิการ
ครั้งที่ 6/2557 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2557 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ
• เร่งใช้จ่ายตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
รมว.ศธ.กล่าวว่า ได้ขอให้องค์กรหลักเร่งดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
ที่ต้องการนำเงินที่ค้างอยู่ในปีงบประมาณ 2556-2557 โดยเฉพาะ
ศธ.ที่มีเงินเหลือจ่ายมากที่สุดคือ 13,198 ล้านบาท
มาเร่งใช้ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซมก่อสร้างอาคารเรียน
และจัดซื้อครุภัณฑ์ในสถานศึกษาต่างๆ เช่น สพฐ. สอศ. สกอ.
โดยขอให้พิจารณาการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนเป็นลำดับแรก หากจำเป็นจริงๆ
จึงจะใช้งบประมาณเพื่อการก่อสร้างอาคารใหม่ นอกจากนี้
ขอให้องค์กรหลักกำชับไปยังสถานศึกษาให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างโปร่ง
ใส ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน
และขอให้เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปีงบ
ประมาณนี้ รวมทั้งเร่งดำเนินการใช้จ่ายในส่วนของปีงบประมาณ 2558 ไปพร้อมๆ
กันด้วย
• ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลของ ศธ.
ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในการขับเคลื่อนนโยบาย
รัฐบาลและนโยบาย รมว.ศธ. ทั้ง 10 นโยบายเร่งด่วน และ 7 นโยบายเฉพาะ
โดยที่ประชุมได้ให้นำความเห็นต่างๆ
จากที่ประชุมไปปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น
สัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวศึกษาต่อสายสามัญในปัจจุบันคือ 36:64
แต่การกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายเมื่อสิ้นปี 2559 ควรจะเพิ่มเป็น 45:55,
ในขณะที่สัดส่วนของผู้เรียนระหว่างเอกชนกับรัฐในปัจจุบันคือ 20:80
แต่เมื่อสิ้นปี 2559 ควรเพิ่มเป็น 35:65 เป็นต้น
•ตั้งหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง
ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งให้นายอนันต์ ระงับทุกข์
เป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. ส่วนรองหัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. คนที่ 1
และคนที่ 2 คือ นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ ตามลำดับ
ซึ่งนอกจากจะแบ่งงานให้ผู้ตรวจราชการทุกท่านรับผิดชอบการตรวจราชการครบทั้ง
18 เขตแล้ว ผู้ตรวจราชการจะรับผิดชอบการตรวจราชการตามนโยบาย (Agenda Based)
ด้วย
•4 แนวทางในการขับเคลื่อนค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการสู่การปฏิบัติ
อีกประเด็นที่สำคัญในการประชุมคือ การขับเคลื่อนค่านิยมหลักคนไทย 12
ประการสู่การปฏิบัติ ซึ่ง รมว.ศธ.ได้ให้แนวทางดำเนินการ คือ 1)
ต้องการเห็นการทำงานและการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนค่านิยมหลักคนไทยเป็น
ภาพรวมของกระทรวง โดยเน้นให้บูรณาการทำงานร่วมกันและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
2) ควรจัดกิจกรรมการปลูกฝังค่านิยมให้เด็กคิดได้ เข้าใจได้ในแต่ละค่านิยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้เด็ก "จำ" เป็นภาพ
ไม่ใช่จำได้เพียงเพราะถูกบังคับให้ท่องบทอาขยาน
ซึ่งจะทำให้เด็กอาจรู้สึกกดดันหรือต่อต้านได้ ครูจึงควรมีศิลปะในการสอน
โดยใช้วิธีการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัย 3)
ควรแทรกหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อให้เด็กเข้าใจและสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการดำรงชีวิตในภายภาคหน้า
4) การจัดกิจกรรมต่างๆ ขอให้มีความปลอดภัยและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
•ความก้าวหน้าการเรียนสายอาชีพ อาชีวศึกษา
สำหรับความก้าวหน้าอาชีวศึกษานั้น รมว.ศธ.กล่าวว่า
คุรุสภาได้พิจารณาแก้ปัญหาการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูให้กับครู
อาชีวศึกษาในสาขาที่ขาดแคลน
ซึ่งได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้เสนอสาขาวิชาขาดแคลนโดยจัด
เป็น 9 ประเภท และได้ดำเนินการรับรองสถาบันที่จัดสอนหลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี
ที่ผลิตครูสายวิชาชีพจำนวน 57 สถาบันแล้ว
ซึ่งต้องขอขอบคุณที่คุรุสภาตอบสนองปัญหาในเรื่องนี้ได้เร็ว
อย่างไรก็ตามต้องการให้คุรุสภาแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูใน
ระยะยาวด้วย โดยเน้นให้พิจารณาแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคและข้อจำกัด
อีกประเด็นที่สำคัญ คือ
ที่ประชุมเห็นชอบการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องมือประจำตัวต่อคน
เป็นจำนวนเงิน 390 ล้านบาท เพื่อจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้เรียนระดับ ปวช.ทุกสังกัด 262,263 คน
ได้ยืมเรียนตลอดหลักสูตร และคืนเมื่อเรียนจบ ปวช. 3 ปี
โดยแนวทางการจัดซื้อนั้น
จะให้แต่ละสถานศึกษาดำเนินการจัดซื้อเองในอัตราที่กำหนดไว้ในแต่ละประเภท
วิชา ดังนี้ - อุตสาหกรรม 2,000 บาทต่อคน - เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1,800 บาทต่อคน - เกษตรกรรม 1,600 บาทต่อคน - คหกรรม, ประมง,
อุตสาหกรรมท่องเที่ยว,อุตสาหกรรมสิ่งทอ 1,200 บาทต่อคน -
พาณิชยกรรม/บริหารธุรกิจ, ศิลปกรรม 1,000 บาทต่อคน
•ย้ำเส้นทางความก้าวหน้า คนกระทรวงเดียวกัน ควรเปิดกว้างเท่าเทียมกัน
รมว.ศธ.กล่าวว่า จากการที่ได้เข้าร่วมประชุม อ.ก.พ.กระทรวงศึกษาธิการ
ต้องการให้ทั้ง 5
องค์กรหลักได้ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงพัฒนาแนวทางดำเนินการให้เหมือนกัน เช่น
แนวทางการจัดทำผลงานทางวิชาการของข้าราชการ
หรือการปรับปรุงเส้นทางความก้าวหน้าของข้าราชการใน ศธ.
ที่ต้องการส่งเสริมให้คนเก่งและดีได้มีความก้าวหน้า
คนในกระทรวงเดียวกันควรได้รับโอกาสย้าย หรือบรรจุแต่งตั้ง
หรือได้รับการสรรหาแบบ Open
สามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนได้ภายในกระทรวงเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์โดยรวมของ ศธ.
ในส่วนประเด็นการชะลอการย้าย
กรณีที่ผู้แทนสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย
เข้ายื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรม
โดยขอให้ชะลอการย้ายผู้อำนวยการสถานศึกษาแทนตำแหน่งว่างไว้ก่อน
และให้จัดสัดส่วนโควตาในอัตรา 50:50
พร้อมทั้งกันตำแหน่งว่างตามสัดส่วนให้รอง
ผอ.สถานศึกษาทั้งในกลุ่มประสบการณ์และกลุ่มทั่วไปได้มีโอกาสสอบบรรจุ
เพื่อความเจริญก้าวหน้าตามประเภทของสถานศึกษา
เนื่องจากขณะนี้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)
เขตพื้นที่การศึกษาได้มีการรับย้ายไปแล้ว 5 เขต
หากไม่รีบดำเนินการคงจะรับย้ายจนครบทุกเขต
ซึ่งจะมีผลทำให้ไม่มีตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาว่างสำหรับการสรรหาในโอกาส
ต่อไป โดยที่ประชุมขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยัง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาต่อไป
เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ก.ค.ศ.
• การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของ ศธ.
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินความร่วมมือ
และกิจกรรมที่ผ่านมา ทั้งความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
รวมทั้งแผนงานที่
ศธ.จะดำเนินงานในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนในปีงบประมาณนี้ เช่น
การจัดโครงการการศึกษาไทยก้าวไกลสู่อาเซียนสัญจร 4 ภูมิภาค
ระหว่างเดือนธันวาคม 2557- กุมภาพันธ์ 2558
และการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558
ซึ่งจะเป็นการประกาศถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของภูมิภาค
เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักและใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาชนของอาเซียนได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบถึงแนวทางการขับเคลื่อนการจัดตั้ง
"ศูนย์ส่งเสริมอาเซียนศึกษา" ซึ่งจัดตั้งที่สำนักงานศึกษาธิการภาคทั้ง 13
แห่ง โดยที่ประชุมขอให้การจัดกิจกรรมโครงการต่างๆ
ไม่ควรเป็นการเพิ่มภาระหรือรบกวนการเรียนในห้องเรียนของนักเรียนมากจนเกินไป
•ฝากให้องค์กรหลักช่วยพิจารณาของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า
จากการที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดทำผลงานที่เป็นรูปธรรมมอบ
เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน จึงขอให้องค์กรหลักร่วมกันพิจารณาว่า
ในส่วนของ ศธ.ควรจะเป็นอะไร
โดยขอให้ช่วยกันคิดและรายงานให้รับทราบภายในเดือนหน้า
ที่มา ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ