สร้างความฮือฮาบนหน้าหนังสือพิมพ์ได้เพียงวันเดียว
ก็ต้องออกมาแก้ข่าวสำหรับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
โดยเมื่อเร็วๆ นี้
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ออกมาขานรับคำสั่งของ
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
ที่ได้ประกาศให้เร่งแก้ไขปัญหาความรุนแรงและเหตุทะเลาะวิวาทของนักศึกษาอาชีวศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
โดยประกาศให้เรื่องนี้เป็น 1 ใน 10 นโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เห็นผลใน 3 เดือน
ทั้งนี้
ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ออกมาสั่งการให้มีการจัดระเบียบเรื่องนักเรียนตีกัน
โดยสั่งปิดสถาบันทันทีที่ตีกันเพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำ
โดยหนึ่งในมาตรการของ
สอศ.ที่สร้างความฮือฮาไม่แพ้การสั่งปิดสถาบันของนายกฯ ก็คือ
การออกข่าวสั่งการให้วิทยาลัยอาชีวะกลุ่มเสี่ยง 21 แห่ง
คัดกรองเด็กที่มีความประพฤติดี ไม่มีประวัติยกพวกตีกัน เจาะหู หรือรอยสักตามร่างกายเข้าเรียน
เพื่อหวังแก้ไขปัญหาการก่อเหตุทะเลาะวิวาทซ้ำซาก
มาตรการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ ไม่เป็นธรรม เพราะการเจาะหูและสักร่างกาย
บางครั้งก็เป็นเรื่องของแฟชั่น ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะเป็นคนไม่ดี และถ้าหากบุคคลเหล่านั้น
เป็นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะก่อเหตุทะเลาะวิวาทจริง
ไม่เท่ากับว่าเป็นการผลักดันพวกเขาให้ไปสร้างความเดือดร้อนให้นักเรียนนักศึกษาดีๆ สถาบันอื่นหรือไม่
เสียงสะท้อนจากสังคมบางส่วนจึงมองว่า เป็นมาตรการสุดโต่งและเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด เช่นเดียวกับมาตรการปิดสถาบันของนายกรัฐมนตรี หลายเสียงสะท้อนว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่รุนแรงเกินไปหรือไม่ ในขณะที่ยังมีเด็กดีๆ เรียนในสถาบันดังกล่าว
ซึ่งจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ขณะที่บางส่วนสนับสนุน เนื่องจากมองว่าการทะเลาะวิวาท
ไม่ได้แค่สร้างความเดือดร้อน บาดเจ็บล้มตายและสูญเสียทรัพย์สินแก่คู่กรณีเท่านั้น
แต่หลายกรณีทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เดือดร้อน บาดเจ็บเสียชีวิตและสูญเสียทรัพย์สินด้วย
ซึ่งที่ผ่านมาใช้มาตรการหลากหลายแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ
จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเพิ่มระดับความรุนแรงของมาตรการลงโทษ
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการห้ามเด็กเจาะหูและสักตามร่างกายเข้าเรียนนั้น
นายชัยพฤกษ์ก็ออกมาชี้แจงแล้วว่า
"เป็นความเข้าใจผิดในเรื่องการสื่อสาร โดยยืนยันว่า
สอศ.ไม่ได้สั่งให้วิทยาลัยไม่รับเด็กที่เจาะหู หรือมีรอยสักเข้าเรียนในปีการศึกษา 2558
เพราะการรับนักเรียนนักศึกษาเป็นดุลพินิจของสถานศึกษา และการเจาะหูและสักร่างกาย เด็กๆ ก็ทำกันเยอะ
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดี ไม่สามารถมาเรียนอาชีวะได้ ตรงกันข้าม
สอศ.รณรงค์ให้เด็กมาเรียนสายอาชีพมากขึ้นเพื่อผลิตช่างฝีมือออกมารับใช้ประเทศ"
ข่าวแว่วว่า
ในที่ประชุม ผู้บริหาร
สอศ.ท่านหนึ่งยกตัวอย่างว่าวิทยาลัยบางแห่งอาจจะไม่รับเด็กที่มีประวัติก่อเหตุทะเลาะวิวาท
รวมถึงเจาะหูและสักตามร่างกาย แต่ก็เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างมาตรการของวิทยาลัยบางแห่ง
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าส่วนกลางจะออกมาตรการดังกล่าวมาควบคุมหรือสั่งการให้วิทยาลัยกลุ่มเสี่ยงต้องปฏิบัติตามด้วย
"ความพยายามที่จะแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการทะเลาะวิวาทซ้ำซาก
เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากเป็นมาตรการที่แก้ไขได้ไม่ตรงจุด หรือสุดโต่งเกินไป
ก็น่าหวั่นใจว่าแทนที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน จะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ๆ
ขึ้นมาหรือไม่??"