เปิดยุทธการ...ทวงคืนหมื่นล้าน ลงดาบ"บิ๊กสกสค.-บิลเลี่ยนฯ" ปิดฉาก...ขบวนการ"โกง"เงินครู
โดย ทีมข่าวการศึกษา หนังสือพิมพ์มติชน
สะท้านสะเทือนวงการการ
ศึกษาไทย สำหรับ "คดีทุจริต" เขย่าขาเก้าอี้ "บิ๊ก" กระทรวงศึกษาธิการ
(ศธ.) หลายราย เมื่อ "ทีมข่าวการศึกษาฯ มติชน"
ได้ขุดคุ้ยข้อมูลเชิงลึกกรณีอดีตผู้บริหาร
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
(สกสค.) นำเงินก้อนโตจาก กองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง
ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้
ของกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.)
2,500 ล้านบาท ไปซื้อ "ตั๋วสัญญา" กับ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป
จำกัด เพื่อนำไปลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี อย่างไม่โปร่งใส
จากการเกาะติดและเจาะลึกอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคืบหน้าอย่างยิ่งเมื่อ
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. สั่งการให้
สกสค.แจ้งความดำเนินคดีข้อหา "ฉ้อโกง" อดีตผู้บริหาร สกสค.ที่ สน.ดุสิต 2
ราย ได้แก่ นายสมศักดิ์ ตาไชย อดีตเลขาธิการ สกสค. และ นายเกษม กลั่นยิ่ง
อดีตประธานคณะกรรมการกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษ ช.พ.ค.
ขณะเดียวกันได้แจ้งความดำเนินคดีกับ "กรรมการบริหาร" บริษัทบิลเลี่ยนฯ 9
ราย ในข้อหาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งตราหรือเครื่องหมายอันเจ้าพนักงานได้
ประทับ หรือหมายไว้ในการปลอมแปลงตั๋วสัญญา รวมถึงสอบวินัยเจ้าหน้าที่
สกสค.ที่เกี่ยวข้องอีก 6 ราย
โดยขณะนี้ได้โยกย้ายให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นแล้ว
นอกจากนี้
ยังเดินหน้าเจรจากับธนาคารแห่งหนึ่งให้คืนเงิน2,100ล้านบาทให้สกสค.กรณี
อนุมัติปิดบัญชีและเบิกถอนเงินของ สกสค.ที่ฝากไว้
เพราะถือว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดความเสียหาย
ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ ศธ.ดำเนินการตามที่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สรุปสำนวนในเรื่องนี้
ทั้งนี้ การตรวจสอบ "ขบวน การทุจริต" เงินสวัสดิการครูจำนวนหลายพันล้านบาทของทีมข่าวการศึกษาฯ
ในครั้งนี้ เกิดจาก
พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
โดยความเห็นชอบของ คสช.แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของ ศธ.,
คณะกรรมการคุรุสภา, คณะกรรมการ สกสค. และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ
สกสค. เพื่อให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)
เข้าตรวจสอบความถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณในหน่วยงานต่างๆ
รวมทั้งตรวจสอบโครงการที่สำคัญๆ หลังจากมีผู้ร้องเรียน
ปัญหาการ
ทุจริตคอร์รัปชั่นใน ศธ. โดยเฉพาะการตรวจสอบทุจริตใน
สกสค.ที่ยิ่งลงลึกก็ยิ่งพบปัญหาที่ถูกซุกอยู่ใต้พรมมากมาย
อย่างการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
อ.หนองหญ้าปล้อง วงเงิน 2,500 ล้านบาท ทำให้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย
รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ในขณะนั้น มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง คตร.,
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ),
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.),
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และผู้บริหาร
ศธ.เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน
เมื่อทีมข่าวการศึกษาฯ
ได้ลงเจาะข่าวในเชิงลึกควบคู่กับการทำงานของฝ่ายตรวจสอบต่างๆยิ่งพบความไม่
ชอบมาพากลทุกอย่างชัดเจนขึ้นเมื่อคตร.เปิดเซฟของผู้บริหารสกสค.2ราย
ในขณะนั้นพบว่ามีเงินสดและหลักทรัพย์ที่บริษัทบิลเลี่ยนฯ
นำมาใช้ค้ำประกันการขายตั๋วสัญญาให้ สกสค.จำนวนมหาศาลอยู่ในตู้เซฟ
เมื่อ
ทีมข่าวการศึกษาฯ ได้สืบเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติม
จึงพบว่าหลักทรัพย์ซึ่งประกอบด้วย ธนบัตรของประเทศโครเอเชีย มูลค่าประมาณ 5
พันล้านบาท ดราฟต์ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) ประเทศไทย มูลค่า 100
ล้านเหรียญสหรัฐ เช็คเงินสดของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า
2,100 ล้านบาท โฉนดที่ดินมูลค่า 30 กว่าล้านบาท
ใบหุ้นสโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง ประเทศอังกฤษ (THE READING FOOTBALL CLUB) มูลค่า
50 ล้านปอนด์ และใบค้ำประกันของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด
(มหาชน) จำนวน 3 ฉบับ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มเป็น
"ของปลอม" และหลักทรัพย์หลายๆ รายการ
ไม่มีมูลค่าจริงตามที่บริษัทบิลเลี่ยนฯ แจ้งไว้
เมื่อดีเอสไอพร้อมด้วย คตร., ปปง., เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย,
เจ้าหน้าที่ธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าไปตรวจสอบหลักทรัพย์ดังกล่าว
ปรากฏว่าหลักทรัพย์เกือบทั้งหมดเป็น "ของปลอม" หรือถ้าเป็นเอกสารจริง ก็
"ไม่มี" มูลค่าที่ระบุไว้ ซึ่งเป็นไปตามที่ทีมข่าวการศึกษาฯ ได้ข้อมูล
และนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านั้นจริงๆ!!
ดีเอสไอยังตรวจสอบพบว่า การซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯจำนวน 3
ครั้ง มีอัตราดอกเบี้ย7% ต่อปี โดยครั้งแรก จำนวน 500 ล้านบาท
มีธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้อาวัลตั๋ว
เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินครบกำหนด
ก็ได้รับชำระเงินตามหน้าตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยครบถ้วน
แต่การขายตั๋วสัญญาใช้เงินครั้งที่ 2 จำนวน 2,100 ล้านบาท และครั้งที่ 3
จำนวน 400 ล้านบาท ไม่มีการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจากธนาคาร
โดยบริษัทบิลเลี่ยนฯ อ้างว่ามีปัญหา จึงได้ขอวางหลักทรัพย์อื่นๆ
ซึ่งการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ทั้ง 3 ครั้ง
ไม่ได้รับความเห็นชอบจาก สกสค.ถือว่า "ผิด"
ระเบียบว่าด้วยข้อบังคับคณะกรรมการ สกสค.
อีกทั้งเมื่อตรวจสอบหลักทรัพย์ที่บริษัทบิลเลี่ยนฯ
นำมาใช้ค้ำประกันการขายตั๋วสัญญาใช้เงิน 2,500 ล้านบาท จำนวน 7 รายการ
พบว่า มีดังนี้
1.ตั๋วแลกเงิน (ดราฟต์) ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC)
เลขที่ 33603330 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 จำนวน 100,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ได้ตรวจสอบกับธนาคาร HSBC แล้ว ได้รับการยืนยันว่าเป็นเอกสารปลอม
2.ใบค้ำประกันของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 3
ฉบับ ได้ตรวจสอบกับธนาคารแล้วน่าเชื่อว่าเป็นเอกสารปลอม
เนื่องจากรูปแบบเอกสารผิดไปจากรูปแบบมาตรฐานของธนาคาร
อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติม
3.ใบหุ้นสโมสร THE READING FOOTBALL CLUB เลขที่ RFC000168 มูลค่า 50 ล้านปอนด์ พบข้อมูลว่านายสัมฤทธิ์ไม่ได้ถือหุ้นของสโมสรเรดดิ้ง
4.เงินสกุลดีน่า (โครเอเชีย) จำนวน 950,000,000 HRK ล้านเหรียญโครเอเชีย น่าจะเป็นธนบัตรจริง แต่ถูกยกเลิกการใช้แล้ว
5.โฉนดที่ดิน 33 แปลง และ น.ส.3 จำนวน 16 แปลง ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง
จ.เพชรบุรี มีใบประเมินราคาจากกรมที่ดินว่ามีมูลค่าประเมิน 37 ล้านบาท
อยู่ระหว่างตรวจสอบ
6.เช็คธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 0482284 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2557 มูลค่า 2,100 ล้านบาท อยู่ระหว่างตรวจสอบ
และ 7.สัญญาค้ำประกันตนเองของ นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา เจ้าของบริษัทบิลเลี่ยนฯ
จากการเจาะข่าวอย่างใกล้ชิดทำให้ปมทุจริตต่างๆ เริ่มกระจ่าง
สกสค.ก็เดินหน้า "รื้อ" โครงสร้างการบริหารภายใน โดยมีมติเห็นชอบให้
"ยกเลิก" ระเบียบสำนักงาน สกสค.ว่าด้วยที่ปรึกษา พ.ศ.2557
และให้ร่างระเบียบใหม่ จากเดิมกำหนดให้เลขาธิการ
สกสค.มีอำนาจลงนามแต่งตั้งที่ปรึกษาได้ 3 ประเภท คือ ที่ปรึกษาเลขาธิการ
สกสค.ไม่เกิน 8 คน ที่ปรึกษาสำนักงาน สกสค.ไม่เกิน 10 คน
และที่ปรึกษางานที่จำเป็นอื่นตามความจำเป็น และเหมาะสม
รวมถึงให้มีอำนาจแต่งตั้งที่ปรึกษาเลขาธิการ
สกสค.คนใดคนหนึ่งเป็นประธานที่ปรึกษา มาเป็นให้มีที่ปรึกษาเลขาธิการ
สกสค.ได้ไม่เกิน 3 คน และการแต่งตั้งที่ปรึกษาฯ
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ สกสค.ด้วย
Advertisement
นอกจากนี้ คณะกรรมการ
สกสค.ได้มีมติ "ยกเลิก" การว่าจ้างนายสมศักดิ์ เลขาธิการ
สกสค.หลังบ่ายเบี่ยง และไม่ยอมมาให้ปากคำ มีผลให้นายสมศักดิ์
และรองเลขาธิการ สกสค.อีก 4 คน ต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที
ขณะที่ ปปง.มีมติเห็นชอบให้ "อายัด" ทรัพย์อดีตผู้บริหาร สกสค.กับพวก
และบริษัทบิลเลี่ยนฯ รวม 2 ครั้ง จำนวน 153 รายการ มูลค่า 500-800 ล้านบาท
เพราะมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานใน
องค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ
หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ ตามกฎหมายอื่น
อันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (5) แห่ง พ.ร.บ.ฟอกเงิน พ.ศ.2542
เบื้องต้น ศธ.ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นในการทุจริตโครงการดังกล่าวถึง 7 พันล้านบาท!!
ขณะนี้ดูเหมือนทุกอย่างใกล้ "บทสรุป" เข้าไปทุกที
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) มีหนังสือเลขที่ นร.0401.6/12848
ลงวันที่ 30 ตุลาคม ถึง นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ตอบกลับกรณีที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งสรุปสำนวนการตรวจสอบกรณี
สกสค.ซื้อตั๋วสัญญากับบริษัทบิลเลี่ยนฯ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งนายกฯ
ได้สั่งให้ ศธ.ดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินชี้มูลความผิดฐานฉ้อโกง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 214 กับบริษัทบิลเลี่ยนฯ
และเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับอดีตผู้บริหาร สกสค.
กรณีการซื้อตั๋วสัญญามูลค่าความเสียหายประมาณ 2,500 ล้านบาท
โดยเสนอให้ดำเนินคดีอาญาฐาน "ฉ้อโกง" กับผู้บริหารบริษัทบิลเลี่ยนฯ
และกรรมการบริษัทบิลเลี่ยนฯ รวมถึงให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหาร
สกสค.และอดีตประธานกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง
ตามโครงการ ช.พ.ค.และคณะกรรมการ
สกสค.ที่มีส่วนในการอนุมัติเงินในการซื้อตั๋วสัญญากับบริษัทบิลเลี่ยนฯ
ทุกคน โดยผู้ที่เป็นข้าราชการให้ดำเนินการทางวินัยด้วย
และให้ "ธนาคาร" ชดใช้เงิน 2,100 ล้านบาท คืนให้ สกสค.กรณีอนุมัติปิดบัญชี
และเบิกถอนเงินของ สกสค.ที่ฝากไว้
เพราะถือว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารประมาทเลินเล่อ ก่อให้เกิดความเสียหาย ทำให้
นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์
เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค.แจ้งความข้อหา "ฉ้อโกง" กับนายสมศักดิ์
และนายเกษม ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่าอดีตผู้บริหาร
สกสค.ที่ถูกดำเนินคดี 1 ราย ได้หลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ยังแจ้งความดำเนินคดีกับกรรมการบริหารบริษัทบิลเลี่ยนฯในขณะ
นั้น9ราย ในข้อหาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งตราหรือเครื่องหมายอันเจ้าพนักงานได้
ประทับ หรือหมายไว้ในการปลอมแปลงตั๋วสัญญา
กรณีธนาคารอนุมัติปิดบัญชี และเบิกถอนเงินของ สกสค.ที่ฝากไว้
ทั้งที่ผู้ลงนามในหนังสือไม่มีอำนาจนั้น ล่าสุด
นายพินิจศักดิ์ได้ทำหนังสือทวงเงิน 2,100 ล้านบาท
ไปยังธนาคารแห่งนี้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ทางธนาคารยังเงียบ
ดังนั้น คณะกรรมการบริหาร
สกสค.เตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งกับธนาคารแห่งนี้เพื่อเรียกเงิน 2,100
ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ได้รับการติดต่อภายใน 15 วันหลังการยื่นโนติส
ส่วนประเด็นที่ทีมข่าวการศึกษาฯ ได้ขยายผลการตรวจสอบปัญหาการทุจริตใน
สกสค.ออกไป และพบว่า สกสค.ได้นำเงินจากกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ของ
ช.พ.ค.ไป "ซื้อหุ้น" ของ บริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด จำนวน 800 ล้านบาท
โดย สกสค.อ้างว่านำเงินดังกล่าวไปลงทุนใน
โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชน บ้านป่าตอง ต.โพนสว่าง อ.เมือง
จ.หนองคาย นั้น จุดที่ตรวจพบสิ่งผิดสังเกตคือ การที่
สกสค.ได้ตกลงซื้อหุ้นของบริษัทหนองคายน่าอยู่ฯ ในราคาหุ้นละ 25 บาท จำนวน
32 ล้านหุ้น วงเงิน 800 ล้านบาท จากราคาหุ้นที่จ่ายจริงหุ้นละ 10 บาท
รวมเป็นเงินที่จ่ายจริง 320 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนต่างหายไป 480 ล้านบาท
แม้เบื้องต้นจะยังไม่พบหลักฐานความผิดในการซื้อหุ้น แต่มีปัญหาเรื่องความ
"คุ้มค่า" อย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง คตร., ป.ป.ช.
และอีกหลายหน่วยงานตรวจสอบอยู่
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร สกสค.ได้นัดบริษัทหนองคายน่าอยู่ฯ
เข้าชี้แจงที่ให้ สกสค.ซื้อหุ้นสูงกว่าราคาพาร์ ในวันที่ 11 มกราคม 2559
อีกครั้ง หากยังไม่เข้าชี้แจง หรือชี้แจงไม่ได้ ก็จะแจ้งความฐาน "ฉ้อโกง"
อีกทั้งเมื่อขยายการตรวจสอบออกไปในส่วนของการบริหารงานภายในองค์การค้า
(อค.) ของ สกสค.ก็ได้พบกับปัญหามากมายที่ส่อไปในทางทุจริต
ไม่ว่าจะเป็นการจ้างเอกชนพิมพ์ตำรา การเช่าแท่นพิมพ์ของเอกชนในราคาสูง
รับฝากขายหนังสือเรียนของเอกชนโดยที่ อค.เสียเปรียบ
หรือกรณีหนังสือเรียนล่องหน 530,000 เล่ม มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
ซึ่งผู้เกี่ยวข้องได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบข้อเท็จจริง
และอยู่ระหว่างตรวจสอบ รวมทั้งคณะกรรมการบริหาร อค.ได้ประเมินผลการทำงานของ
นายสมมาตร์ มีศิลป์ ผู้อำนวยการ อค. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
และมีมติเลิกจ้างนายสมมาตร์ เนื่องจากไม่ผ่านการประเมินผลงาน
นับว่าการเปิดโปงขบวนการทุจริตอย่างเข้มข้นของ "ทีมข่าวการศึกษาฯ มติชน"
ทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลาย นำไปสู่กระบวนการลงโทษ
และฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในแง่มุมต่างๆ
รวมทั้งทำให้เกิดการสังคายนากฎเกณฑ์ต่างๆ
ครั้งใหญ่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อปิดช่องโหว่ในการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 2 มกราคม 2558 |
โพสเมื่อ :
04 ม.ค. 59
อ่าน 1384 ครั้ง คำค้นหา :
|
|