แจงเหตุผลบรรจุครูผู้ช่วย 130 คนไม่มีตั๋ว

เมื่อ วันที่ 9 กรกฎาคม "ณรงค์" ชี้องค์กรครูฟ้องศาลปกครอง เหตุไม่พอใจมติบอร์ดคุรุสภาเปิดทาง 130 คนที่ไม่มีตั๋วครูได้รับบรรจุครูผู้ช่วย เป็นสิทธิ ยันไตร่ตรองเหตุผลรอบด้านแล้ว

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่สมาพันธ์สมาคมครูจังหวัดอุดรธานี เตรียมจะฟ้องศาลปกครองให้ดำเนินการกับคณะกรรมการคุรุสภาชุดใหม่ที่มีมติให้ บรรจุแต่งตั้งบุคคลที่จบปริญญาตรีสาขาอื่นและไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จำนวน 130 คน เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าเป็นมติที่ไม่ชอบนั้น หากองค์กรครูรู้สึกว่าไม่พอใจก็เป็นสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ แต่ไม่แน่ใจว่ามีการฟ้องร้องศาลปกครองไปแล้วหรือยัง และหากยื่นไปแล้วคงต้องรอดูว่าศาลปกครองจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร

ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวยืนยันว่าในการประชุมคณะกรรมการคุรุสภาที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยดูเหตุผลอย่างรอบด้านแล้วจึงมีมติ อนุมัติและมอบให้นายกมล ศิริบรรณ รองปลัด ศธ.ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา ไปดำเนินการในรายละเอียดต่อไป

"ทุกคนมีสิทธิ์ฟ้องร้องก็แล้วแต่จะดำเนินการไม่มีปัญหาอะไร เพราะอำนาจการบรรจุแต่งตั้งก็เป็นมติของบอร์ดคุรุสภาในการอนุมัติ ซึ่งจากนี้กระบวนการบรรจุและแต่งตั้งก็เป็นหน้าที่ของคุรุสภาที่ต้องดำเนิน การตามมติดังกล่าวต่อไป ดังนั้นหากจะฟ้องต่อศาลปกครองก็ให้ฟ้องร้องไปตามกระบวนการ ซึ่งยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมาเราพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างรอบคอบ ส่วนใครจะไม่เห็นด้วยนั้นก็ให้ว่าไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ยังไม่ทราบเหตุผลและรายละเอียดที่จะมีการฟ้องร้อง แค่ทราบเบื้องต้นว่าเกี่ยวข้องกับการรักษาศักดิ์ศรีของครู เพียงแต่ศักดิ์ศรีเขียนไว้ในกฎหมายด้วยหรือเปล่าไม่รู้" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าว

อนึ่ง มติคณะกรรมการคุรุสภาที่มี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธาน ได้อนุมัติให้ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในตำแหน่งครูผู้ช่วยทั้ง 130 คน ได้รับการบรรจุทั้งหมดโดยมีเงื่อนไขว่าภายใน 2 ปี จะต้องพัฒนาตนเองตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณ วิชาชีพ พ.ศ.2548 เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ต่อไป
 

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก