ศธ.ฟุ้ง 'หลักสูตรใหม่' 3 ปีเห็นผล
|
กระทรวงศึกษาธิการฟุ้งหลักสูตรการศึกษาใหม่ คาด 3 ปีเห็นผล
เด็กไทยอ่านหนังสือไม่ออกน้อยลง ผลสอบโอเน็ตคะแนนเพิ่มขึ้น
เชื่อเป็นพิมพ์เขียวการศึกษาที่ดี แจงไม่ได้เลียนแบบหลักสูตรจากต่างประเทศ
เน้นการเรียนการสอนที่เหมาะกับคนไทย...
นอกเหนือจากประเด็นที่หลาย
ฝ่ายกังขาเรื่อง
การไม่ปรากฏหลักสูตรนาฏศิลป์ในร่างหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่แล้ว
การปรับลดกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้เหลือเพียง 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้
จากเดิมที่มีอยู่ถึง 8 กลุ่ม
ยังมีคำถามจากนักวิชาการทางด้านการศึกษาที่ตั้งคำถามถึงร่างหลักสูตรการ
ศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่ว่ามีความเหมาะสมกับเด็กไทยมากน้อยแค่ไหน?
จะช่วยให้เด็กไทยมีการเรียนที่พัฒนาขึ้นมากกว่าเดิมหรือไม่?
คำถาม
อีกประเด็นที่นักวิชาการส่งผ่านไปยังกระทรวงศึกษาธิการ คือ
แนวนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ระยะหลังดูเหมือนจะมีความพยายามในการลอก
เลียนแบบการศึกษาจากประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้ว
และนำมาปรับใช้ในการศึกษาของไทย
เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับระบบการศึกษาของไทยแล้วหรือ?
ศ.ดร.ภาวิช
ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า
หลักสูตรการศึกษาใหม่ก็มีทิศทางใหม่ๆ ให้เห็นพอสมควร
เพื่อให้เรามุ่งเป้าไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นทิศทางที่ดี
จะให้พลิกโฉมทันทีคงเกิดขึ้นไม่ได้ทันที
เพียงแต่จะเป็นพิมพ์เขียวในการเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งกว่าเดิม
“ถ้า
ทำตามแผนการศึกษาของไทยจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น คาดว่าภายใน 3
ปีจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงจากตัวชี้วัดต่างๆ เช่น
เด็กอ่านหนังสือไม่ออกน้อยลง การวัดผลจากโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ
(PISA) ได้ลำดับที่ดีขึ้น คะแนนโอเน็ตเพิ่มขึ้น เป็นต้น
แต่คงไม่สามารถพลิกโฉมแบบทันทีได้ โดยสภาพการณ์ของบ้านเราเป็นไปไม่ได้”
นอก
จากนี้ยืนยันว่าหลักสูตรการศึกษาใหม่ไม่ได้เลียนแบบมาจากต่างประเทศ
นักวิชาการที่พูดต้องมาดูรายละเอียดของหลักสูตรจริงๆ
จึงจะรู้ว่าไม่ได้เป็นการเลียนแบบ แต่การที่จะศึกษาว่าประเทศต่างๆ
เขาเรียนอะไรกันบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ
การจัดการศึกษาให้คนไทยมีคุณภาพเป็นเรื่องจำเป็น
เพราะประเทศไทยไม่ได้อยู่คนเดียว เราต้องทัดเทียมนานาประเทศ  เรา
ต้องดูภาพของประเทศเรา เพราะความรู้ทางวิชาการต่างๆ บางวิชาเป็นสากล
ความรู้เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองไทย เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
ทฤษฎีต่างๆ ก็เป็นเรื่องของต่างประเทศที่เขาคิดค้นกันขึ้นมา
หลัก
สูตรการศึกษาแบบเดิมมีมาแล้ว 12 ปี
เป็นหลักสูตรที่ครูต้องใช้ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนเอง
ซึ่งความสามารถของครูไทยไม่ได้มีศักยภาพสูงขนาดนั้น
การทำแผนการสอนจึงพึ่งหนังสือเรียนเป็นหลัก
การผลิตหนังสือเรียนของเอกชนก็หลากหลาย
หากเจอหนังสือที่ไม่ดีก็เป็นผลเสียกับเด็ก
หลักสูตรเดิมจะดีหากนำไปใช้กับครูที่มีความสามารถสูง
จึงจำเป็นต้องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาใหม่
ผลกระทบในวงการการศึกษา
บ้านเราจากการใช้หลักสูตรเดิม คือ ระบบการศึกษาที่แย่ลง
เห็นได้จากผลการสอบโอเน็ตที่คะแนนลดลง การอ่านออกเขียนได้ลดลง
การจัดอันดับการศึกษาต่างๆ ที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้หลักสูตรการศึกษาใหม่ได้แบ่งหลักสูตรออกเป็น 2 ส่วน
คือหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษา
ข้อดีคือการมีหลักสูตรท้องถิ่นรวมอยู่ด้วย
จะทำให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
ท้องถิ่น
สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ถูกปรับให้เหลือ 6 กลุ่ม
ประกอบไปด้วย 1.ภาษาและวรรณกรรม 2.วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและคณิตศาสตร์
3.การดำรงชีวิตและโลกของงาน 4.ทักษะสื่อและการสื่อสาร
5.สังคมและความเป็นมนุษย์ และ 6.อาเซียน ภูมิภาค และโลก
นอกจากจะ
ต้องปรับตารางสอนใหม่แล้ว ยังต้องมีการปรับชั่วโมงการเรียนลดลง
เพื่อให้เด็กได้ใช้เวลาในการเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น
ทางโรงเรียนเองต้องหากิจกรรมไว้รองรับเด็ก ทั้งกลุ่มเด็กที่เรียนดีอยู่แล้ว
และกลุ่มเด็กที่เรียนช้า
ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าในปี 2557
ที่จะถึงนี้จะเริ่มใช้หลักสูตรการศึกษาใหม่
แต่จะเป็นช่วงเวลาใดนั้นขึ้นอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ที่จะต้องรับรองหลักสูตรและเห็นชอบในการดำเนินการต่อไป
ซึ่งก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าหลักสูตรการศึกษาใหม่จะช่วยพัฒนาการศึกษาไทย
มากน้อยแค่ไหน?? |
|
โพสเมื่อ :
30 ต.ค. 56
อ่าน 1475 ครั้ง คำค้นหา :
|
| |