เสมา2 ชี้การศึกษาไทยมี 2 ด้าน



“กฤษณพงศ์ ”ไม่เชื่อรายงานการศึกษาไทยห่วยออกจากหน่วยราชการต่างประเทศ ย้ำเดินหน้าใช้ 3 ส่วนหลักดันปฏิรูปอุดมศึกษาไทย จี้มหาวิทยาลัยเปิดข้อมูลสาขาเรียนจบมีงานทำ ให้เด็กรู้ก่อนเลือกเส้นเรียน


วันนี้ ( 3 พ.ค.)ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพ่รรายงานของชาวต่างชาติทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยวิพากษ์วิจารณ์การศึกษาของไทยมีปัญหาคุณภาพตั้งแต่มัธยมศึกษาถึง มหาวิทยาลัย ว่า ตนเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวไม่น่าจะเป็นข้อมูลของหน่วยต่างประเทศ เพราะการศึกษาของไทย มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ถ้าไม่ดีเลยคงขับเคลื่อนสังคมไม่ได้มาจนถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมาคนไทยชอบพูดถึงด้านไม่ดี ของที่ดีซึ่งมีอยู่ก็ไม่พูดถึงกัน อย่างไรก็ตามในฐานะที่ตนดูแลการอุดมศึกษา การปฏิรูปการศึกษาที่จะดำเนินการในส่วนของอุดมศึกษานั้นมี 3 ส่วนหลักที่ตนอยากจะผลักดัน คือ

1.ให้มหาวิทยาลัยใช้แผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี(พ.ศ.2551- 2565) ซึ่ง ได้ทำไว้ตั้งแต่สมัยตนเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) คิดว่าเป็นแผนที่ดี ไม่ต้องคิดนโยบายใหม่ แต่ให้มหาวิทยาลัยมาดูว่าใน 1 ปีนี้ จะเน้นอะไร ต้องการความช่วยเหลือด้านทรัพยากร หรือ ให้ปลดล็อคอะไร ก็บอกมา

รมช.ศธ. กล่าวต่อไปว่า

เรื่องที่ 2.เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามอบอำนาจให้มหาวิทยาลัยไปจัดการตัว เองได้มากแล้วก็ต้องทำสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลไกการดูแลบริหารจัดการมหาวิทยาลัยให้มีความเข้มแข็ง เช่น ให้สถาบันคลังสมองของชาติ จัดฝึกอบรมกรรมการสภามหาวิทยาลัยให้มากขึ้น ให้มหาวิทยาลัยนำตัวอย่างที่ดีของตนเองมาเผยแพร่และเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัย อื่นส่งคนไปเรียนรู้ หรือนั่งทำงานด้วยได้ ตลอดจนมาทบทวนเรื่องการแชร์ข้อมูลกับต่างประเทศ เป็นต้น

"มี แนวคิดว่าจะต้องมีกฎหมายกลางเข้าไปดูแลสภามหาวิทยาลัย อย่างร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา ที่จะผลักดันกันนั้น ผมยังไม่ได้ดูรายละเอียด แต่หากจะผลักดันต้องพิจารณาร่วมโดยที่ไม่ได้ใช้อำนาจของใครคนใดคนหนึ่ง จะไม่เข้าไปตัดสินทุกเรื่อง แต่จะเน้นบางเรื่องอย่าง หลักสูตรการเรียนการสอนที่จบออกมาแล้วไม่มีงานทำอาจจะต้องให้อำนาจส่วนกลาง หรือ สกอ.ไม่อนุมัติให้มหาวิทยาลัยเปิดสอนหลักสูตรดังกล่าว ไม่ใช่ว่าเมื่อมหาวิทยาลัยเสนออนุมัติหลักสูตรที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา มหาวิทยาลัยมาให้ สกอ.ก็ต้องอนุมัติทั้งหมด เนื่องจากมีการให้อำนาจสภามหาวิทยาลัยในปัจจุบัน ซึ่งโดยหลักแล้วการจะเปิดสอนหลักสูตรต่างๆ ควรจะต้องดูในภาพรวมทั้งระบบ แต่อย่างไรก็ตามการสร้างสภามหาวิทยาลัยให้เข้มแข็งน่าจะเป็นกลไกที่ดีกว่า ที่จะไปควบคุมดูแลและน่าจะทำได้เร็วกว่า” รมช.ศธ. กล่าว

ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวด้วยว่า

3.การเพิ่มความรับผิดรับชอบของมหาวิทยาลัยในการผลิตนักศึกษาออกมาแล้วมี งานทำหรือสร้างงานเองได้ ซึ่งตนอยากให้มหาวิทยาลัยทำรายงานหรือให้ข้อมูลแก่สาธารณะที่ควรจะรับทราบ อย่าง เช่น อัตราการมีงานทำของบัณฑิตแต่ละมหาวิทยาลัยที่จบออกไป อัตราเงินเดือนที่ได้รับ และเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนใช้ข้อมูลเหล่านี้ตัดสินใจในการสมัครเข้าเรียนต่อใน มหาวิทยาลัย โดยปัจจุบันข้อมูลดังกล่าวสกอ.มีเฉพาะในส่วนของการรับ การจบนักศึกษาในแต่ละสาขาวิชาทั่วประเทศ แต่อัตราการมีงานทำ และเงินเดือนจะเป็นข้อมูลของมหาวิทยาลัย ดังนั้น หากมีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนนี้ออกมาเป็นเป็นประโยชน์อย่างมาก ซึ่งตนหวังว่าในช่วงของการสมัครแอดมิชชั่น ปีการศึกษา 2558 น่าจะมีข้อมูลบางส่วนออกมาก่อน อย่างในสาขาวิชาที่มีคนเรียนเยอะในสายสังคม ทั้งนี้ตนจะไปพิจารณาว่าข้อมูลการจบ และการมีงานทำควรจะต้องนำมาพิจารณาเพื่อตั้งงบประมาณภาครัฐในแต่ละ มหาวิทยาลัยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือเรื่องนี้กับทางที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยแล้ว จากนี้ไปจะไปพูดคุยกับกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและมหาวิทยาลัย ราชภัฏและมหาวิทยาลัยเอกชนเพื่อขอความร่วมมือต่อไป

 

 

 

ที่มา เดลินิวส์ วันจันทร์ 3 พฤศจิกายน 2557 เวลา 17:14 น.


โพสเมื่อ : 04 พ.ย. 57   อ่าน 1437 ครั้ง      คำค้นหา :