![]() |
ในช่วงปี 2556-2567
ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
จำนวนไม่น้อยกว่า 1.9 แสนคน หรือครึ่งหนึ่งของครูทั้งหมดจะเกษียณอายุราชการ
โรงเรียนจะต้องคัดเลือกครูใหม่ประมาณ 1.56
แสนคนเพื่อให้เพียงพอกับจำนวนนักเรียนในอนาคต ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 47
ของจำนวนครูทั้งหมดในปี 2568
ความหวังในการปฏิรูปการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับคุณภาพการสอนของครูรุ่นใหม่นี้
โดยโครงการสถาบันวิจัยการเรียนรู้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
เสนอแนะว่าภาครัฐจึงควรวางแผนรองรับการเกษียณขนานใหญ่นี้
โดยเร่งดำเนินนโยบายด้านบุคลากรครูตามข้อเสนอ 3 ประการ ดังนี้ ข้อเสนอที่ 1
ปรับปรุงระบบการคัดเลือกเพื่อเลือกสรรครูเก่งตรงกับความต้องการของโรงเรียน
ปัจจุบัน สพฐ. มีโอกาสสูงที่จะได้คนเก่งมาเป็นครูจากการสอบคัดเลือก ในปี
2557 มีผู้สมัครสอบบรรจุข้าราชการครูประมาณ 1 แสนคน
ขณะที่มีตำแหน่งบรรจุเพียง 1,880 คน จึงเป็นการคัดเลือกครู 2 คนจาก 100 คน
อย่างไรก็ตาม
โรงเรียนกลับไม่มีบทบาทในการคัดเลือกสรรหาครูที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ
เขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้คัดเลือกครู
เมื่อผู้สมัครสอบผ่านข้อเขียนและการสัมภาษณ์แล้วจะได้ขึ้นบัญชีผู้สอบผ่าน
และผู้สอบที่ได้อันดับดีกว่าจะได้เลือกโรงเรียนก่อน นอกจากนี้
ข้อสอบยังน่าสงสัยว่าไม่มีมาตรฐานคุณภาพ
เขตพื้นที่การศึกษาบางแห่งใช้เวลาออกข้อสอบเพียง 1-2 วัน
ไม่มีการสร้างคลังข้อสอบที่มีคุณภาพ และมีการปรับข้อสอบให้ง่ายขึ้น
เพราะเกรงว่าจะมีผู้สอบผ่านน้อย ข้อเสนอที่ 2
จัดสรรครูให้เพียงพอกับความต้องการของนักเรียนในโรงเรียนแต่ละแห่ง
นอกจากการเพิ่มจำนวนครูให้เพียงกับความต้องการโดยรวมแล้ว
กระทรวงศึกษาธิการควรจัดสรรครูให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในปี 2553 โรงเรียน
1.3 หมื่นแห่งขาดแคลนครูรวมกันประมาณ 6 หมื่นคน ในขณะที่โรงเรียนอีก 1
หมื่นแห่งกลับมีครูเกินรวมกันถึง 2.1 หมื่นคน และจากข้อมูล ก.ค.ศ. ปี 2557
แสดงให้เห็นปัญหานี้ว่ายังคงอยู่ โดยมีโรงเรียนขาดแคลนครู 1.1 หมื่นแห่ง
และโรงเรียนที่มีครูเกิน 1 หมื่นแห่ง ปัจจุบัน
การจัดสรรคำนึงถึงความสมัครใจของครูมากกว่าความต้องการของนักเรียน
คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)
เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการบุคลากรครูภายในเขตพื้นที่ แต่ อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่บางแห่งจะย้ายครูก็ต่อเมื่อครูยินยอม เมื่อไม่มีครูยินยอมย้าย
โรงเรียนที่ขาดแคลนครูก็ไม่สามารถบรรจุข้าราชการครูเพิ่มได้จากข้อจำกัดว่า
โรงเรียนได้รับงบตามจำนวนบุคลากรที่เป็นข้าราชการครู ไม่ใช่จำนวนนักเรียน
อีกทั้งภาครัฐยังไม่ได้สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ครูที่ทำงานในพื้นที่ยากลำบาก
ครูได้รับเบี้ยกันดารเพียง 1,000 บาทต่อเดือน
การได้ย้ายไปโรงเรียนในเมืองหรือกลับภูมิลำเนาจึงเปรียบเสมือนเป็นรางวัลแก่
ครู ซึ่งย่อมทำให้พื้นที่ห่างไกลขาดครู ดังนั้น ควรปรับให้การจัดสรรจำนวนครูให้เป็นไปตามจำนวนนักเรียน เช่น
ให้โรงเรียนทุกแห่งจ้างครูรุ่นใหม่แบบพนักงานและจ้างได้ตามจำนวนที่คำนวณจาก
สูตรของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งใช้จำนวนนักเรียนเป็นองค์ประกอบหลัก
โดยโรงเรียนจะได้รับงบจ่ายค่าตอบแทนเฉพาะจำนวนครูตามสูตรเท่านั้น
ในกรณีมีครูเกิน
โรงเรียนต้องหาทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อจ่ายค่าตอบแทนหรือให้ครูบางคนย้ายออก
ไปสมัครยังโรงเรียนอื่น
แต่ในกรณีขาดครูอยู่โรงเรียนจะมีทรัพยากรเหลือเพื่อจัดจ้างครูใหม่
และควรเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ปกครองและชุมชนทราบได้ติดตามการจัดสรรครูให้มี
ประสิทธิภาพด้วย นอกจากนี้
ควรสร้างขวัญและกำลังใจให้กับครูในพื้นที่กันดารด้วยการปรับค่าตอบแทน
และให้ทุนการศึกษาดึงดูดนักเรียนเก่งในพื้นที่ขาดแคลนครูเข้ามาเรียนในคณะ
ศึกษาศาสตร์ ข้อเสนอที่ 3
ปรับปรุงสภาพการทำงานและสัญญาการจ้างงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการสอน
และสร้างขวัญกำลังใจให้กับครูที่รับผิดชอบต่อผลการเรียนของนักเรียน
ครูในโรงเรียนสังกัด สพฐ.
มีภาระงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการสอนล้นจนไม่มีเวลาพัฒนาการสอน ผลการสำรวจปี
2557 ของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชนหรือ
สสค. พบว่าครูใช้เวลาเพื่อทำงานที่ไม่ใช่การสอนถึง 84 วันจาก 200
วันในช่วงเปิดเทอมส่วนใหญ่เป็นภาระงานประเมิน กิจกรรมการแข่งขันวิชาการ
และการอบรมจากภายนอก ดังนั้น ควรลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวกับการสอนลง
ให้ครูมีเวลาในการพัฒนาคุณภาพการสอนเพิ่มขึ้น
และควรจ้างครูรุ่นใหม่ด้วยสัญญาแบบพนักงานที่มีความมั่นคงและก้าวหน้าทาง
อาชีพตามความสามารถและผลงาน
การประเมินควรเชื่อมโยงกับทักษะการสอนจริงและพัฒนาการผลการเรียนของนักเรียน
และโรงเรียนสามารถยกเลิกการว่างจ้างได้หากพิสูจน์ได้ว่าในกรณีที่พิสูจน์ได้
ว่าครูมีผลงานตกต่ำอย่างต่อเนื่องและไม่มีการพัฒนาการสอน ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง |
โพสเมื่อ : 21 ม.ค. 58 อ่าน 1383 ครั้ง คำค้นหา : |