สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา หนึ่งในประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนามาเป็นเวลาหลายพันปี ทั้งบนดินแดนศรีลังกาแห่งนี้ในสมัยพุทธกาลเชื่อกันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมา อีกทั้ง ณ ประเทศแห่งนี้ ยังเคยเป็นสถานที่ในการสังคายนาพระไตรปิฎกถึง 4 ครั้ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ.128, พ.ศ.433, พ.ศ.956 และ พ.ศ.1587 พระพุทธศาสนาในศรีลังกาเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งมาสู่ยุคหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2295 คณะสงฆ์ศรีลังกาในขณะนั้นนำเอาคติความเชื่อแบบมหายานและลัทธิฮินดูเข้ามาผสมผสานกับคำสอนแบบเถรวาท จนพิธีกรรมกลายเป็นคำสอนหลัก ประกอบกับนักล่าอาณานิคมตะวันตกเข้ามามีบทบาททางการเมืองหวังถอนรากถอนโคนพระพุทธศาสนา ส่งผลให้ขาดพระสงฆ์ที่จะทำหน้าที่เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ศรีลังกาในขณะนั้น ทรงต้องการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในศรีลังกาที่กำลังจะสูญสิ้น จึงส่งคำเชิญมายังประเทศไทยซึ่งในยุคนั้น ซึ่งมี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงได้รับคำเชิญ ก็ทรงมีรับสั่งให้คัดเลือกพระสงฆ์เพื่อเดินทางไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา นำโดย พระอุบาลี มหาเถระ จากวัดธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยพระสงฆ์อีก 23 รูป และนั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาระหว่างไทย-ศรีลังกาที่สืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลามากกว่า 260 ปีแล้ว ด้วยความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาของทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างยาว นาน ทำให้การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของ นายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เนื่องในความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 60 ปี ไทย-ศรีลังกา และความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนา 260 ปี เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2558 จึงมีการหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยมีโอกาสไปศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา จึงนำมาซึ่ง โครงการนำเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ พระภิกษุสามเณร และบุคลากรสนับสนุนงานพระพุทธศาสนา ศึกษาดูงาน และสักการะศาสนสถานที่สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เมื่อวันที่ 5-10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมี น.ส.ประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เป็นหัวหน้าทีมนำพระสงฆ์ที่ทำงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำนวน 68 รูป ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ซึ่ง “ทีมข่าวศาสนา” มีโอกาสได้ไปร่วมสังเกตการณ์ยังสาธารณรัฐสังคม นิยมประชาธิปไตยศรีลังกาด้วย การเดินทางในครั้งนี้คณะสงฆ์ไทยได้เข้าสักการะ พระทิพโบตุเววา ศรี สิทธัตถะ สุมังคละ มหานายกะเถโร พระ มหานายกะฝ่ายมัลวัตตะ และสักการะศาสนสถานที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็น พระเจดีย์ถูปาราม สถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4, ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นหน่อที่นำมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช, มหินตเล สถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นจุดกำเนิดพระพุทธศาสนาในศรีลังกา, พระธาตุเขี้ยวแก้ว อายุกว่า 2,000 ปี, วัดกัลยาณีวิหาร วัดที่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาด้วย ที่สำคัญคือในการเข้าสักการะศาสนสถานที่สำคัญทุกแห่งจะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ พระสงฆ์จากศรีลังกา คอยอธิบายถึงประวัติศาสตร์ และความสำคัญของสถานที่ในแต่ละแห่งให้กับคณะสงฆ์ไทยตลอดการเดินทาง  ทั้งนี้ในส่วนของพระสงฆ์ที่ร่วมเดินทางไปกับคณะฯ ยืนยันว่าโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์และควรสานต่อโครงการนี้ต่อไป โดย พระราชธรรมโกศล เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ จ.อุบลราชธานี เจ้าคณะ จ.อุบลราชธานี (ธรรมยุต) กล่าวว่า “การนำพระ เณร มาเห็นสิ่งที่ยังไม่เคยเห็น จะได้เข้าใจว่าที่เคยอ่านมาในหนังสือเป็นอย่างไร และสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นคือการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงของคนศรีลังกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาของที่นี่เข้มแข็ง ดังนั้นจะนำเรื่องนี้ไปสอนญาติโยมต่อไป”  ด้าน พระครูปรีชาวชิรธรรม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณวราราม จ.นครราชสีมา บอกว่า “การได้มาศึกษาในพื้นที่จริงจะทำให้ได้รับประสบการณ์มากกว่าการศึกษาแต่ในทฤษฎี โครงการนี้เป็น โครงการที่ดี แต่ยังขาดการให้ความรู้ในบางเรื่อง ซึ่งส่วนตัวสนใจเรื่องงานด้านศึกษาสงเคราะห์ของศรีลังกา เพราะศรีลังกาเป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แต่จากการเดินทางมาครั้งนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลในเรื่องดังกล่าวเท่าที่ควร”  สำหรับ พระปลัดไพบูลย์ ญาณวิปุโล วัดเพชรสมุทรวรวิหาร หัวหน้าพระสอนศีลธรรม จ.สมุทรสงคราม เห็นว่า “ศรีลังกาเคยเกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเกือบล่มสลายมาแล้ว การได้มาศึกษาประวัติศาสตร์ของที่นี่ ทำให้ได้รู้สาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่สืบไปได้” ขณะที่ น.ส.ประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวว่า “จะนำผลจากการเดินทางในครั้งนี้หารือกับ นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เพื่อต่อยอดโครงการนี้ต่อไป” แง่คิดหนึ่งที่ “ทีมข่าวศาสนา” ได้รับจากการร่วมเดินทางไปกับคณะสงฆ์ไทยในครั้งนี้ก็คือ แม้ปัจจุบันพระพุทธศาสนาในศรีลังกาจะดูเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หากย้อนไปดูในอดีตก็จะเห็นว่ามียุคหนึ่งที่พระพุทธศาสนาในศรีลังกาเกือบจะสูญสิ้นไป โดยมีสาเหตุหลักคือพระสงฆ์ในศรีลังกาที่ไปเน้นพิธีกรรมมากกว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นว่าพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกคนคงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์วิกฤติศรัทธาในพุทธศาสนาในประเทศไทยเฉกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้น ณ ศรีลังกาในอดีต และยิ่งเมื่อเราได้ไปเห็นทั้งความเจริญรุ่งเรือง ความเสื่อมถอย ทั้งรู้ถึงสาเหตุแห่งความเสื่อมถอยของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาครั้งนั้นแล้ว คณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ควรที่จะนำประสบการณ์ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ เพื่อเสริมความมั่นคงและยั่งยืนให้กับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยเฉพาะการเน้นให้พุทธศาสนิกชนไทยตระหนักรู้ถึงการยึดแก่นแท้ใน “หลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิต เพื่อให้ดินแดนขวานทองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา” ตลอดไป. ทีมข่าวศาสนา |